เมื่อเพลง You’ll never walk alone กระหึ่มขึ้นแฟนบอลทุกคนหยุดเสียงพูดคุยหรือหยอกล้อตลกโปกฮาลง ชูผ้าพันคอขึ้นแล้วตั้งหน้าตั้งตาร่วมประสานด้วยเสียงของตัวเอง คนที่ไปเยือนถิ่นแอนฟิลด์เป็นครั้งแรกๆขนจะลุกชันขึ้นมาทันทีเมื่ออยู่ในบรรยากาศที่เป็นมนต์ขลังนี้…
.
.
เมื่อเกมเริ่มขึ้นความเอาจริงเอาจังในการร่วมเชียร์สุดเสียง การร้องเพลงประจำตัวของผู้เล่นที่แฟนๆ แต่งให้ ตลอดจนเสียงปรบมือให้กำลังใจเมื่อพลั้งพลาดเป็นไปอย่างเสมอต้นเสมอปลายจนจบเกม สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุให้คู่แข่งที่จะเหยียบถิ่นแอนฟิลด์ต้องหวาดหวั่นเป็นธรรมดาและมักจะเผื่อใจไว้ว่าการไม่แพ้ที่นี่ก็นับว่าเป็นความสำเร็จสูงสุดแล้ว อะไรอยู่เบื้องหลังพลานุภาพของกองทัพเดอะค็อป (ชื่อที่กองเชียร์ลิเวอร์พูลใช้เรียกตัวเอง) ที่พร้อมส่งไปอย่างเกินร้อยให้ทีมรักของพวกเขาขนาดนี้
.
.
การมาของ Jurgen Klopp ผู้จัดการทีมชาวเยอรมันเมื่อปี 2015 ได้เปลี่ยนโฉมทีมที่เริ่มตันในทุกมิติ ไม่มีความสำเร็จอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันมายาวนานนับสิบปี ไปสู่ทีมที่เล่นอย่างดุดันที่ถูกขนานนามว่าฟุตบอลแบบเฮฟวี่เมทัล วิ่งไล่บอลไม่หยุดไปทั้งสนามสร้างผลงานดีวันดีคืนมาเป็นลำดับ ผู้เล่นคนแล้วคนเล่าที่เข้ามาสมทบในยุคของเขาซึ่งล้วนเป็นนักเตะที่ไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนัก ต่างแจ้งเกิดเป็นซุปเปอร์สตาร์กันที่นี่ทั้งหมด จนในปี 2019 ลิเวอร์พูลได้กวาดหมดทั้งสองถ้วยสำคัญที่สุดของยุโรปและของโลก และเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา Klopp ก็พาลิเวอร์พูลขึ้นเป็นแชมป์ของพรีเมียร์ลีคได้สำเร็จหลังจากที่สโมสรแห่งนี้ไม่เคยสัมผัสถ้วยนี้เลยในรอบสามสิบปี แถมยังเป็นแชมป์แบบที่ปิดเกมได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์อีกต่างหาก
.
.
Klopp และผู้บริหารของลิเวอร์พูลทำอย่างไรในการปลุกทีมที่เริ่มโรยราอ่อนแรงให้กลับมาสู่ความยิ่งใหญ่ได้ คำเฉลยที่คนในทีม ทั้งผู้เล่นและทีมโค้ชพูดเป็นเสียงเดียวกันคือเคล็ดลับ Winning Culture สี่ประการซึ่งเราสามารถเรียนรู้เพื่อไปปรับใช้ในการบริหารทีมงานและองค์กรได้
.
.
เมื่อเพลง You’ll never walk alone กระหึ่มขึ้นแฟนบอลทุกคนหยุดเสียงพูดคุยหรือหยอกล้อตลกโปกฮาลง ชูผ้าพันคอขึ้นแล้วตั้งหน้าตั้งตาร่วมประสานด้วยเสียงของตัวเอง คนที่ไปเยือนถิ่นแอนฟิลด์เป็นครั้งแรกๆ ขนจะลุกชันขึ้นมาทันทีเมื่ออยู่ในบรรยากาศที่เป็นมนต์ขลังนี้ เมื่อเกมเริ่มขึ้นทุกคนเอาจริงเอาจังในการร่วมเชียร์สุดเสียง การร้องเพลงประจำตัวของผู้เล่นที่แฟนๆ แต่งให้ ตลอดจนเสียงปรบมือให้กำลังใจเมื่อพลั้งพลาดเป็นไปอย่างเสมอต้นเสมอปลายจนจบเกม…
.
.
สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุให้คู่แข่งที่จะเหยียบถิ่นแอนฟิลด์ต้องหวาดหวั่นเป็นธรรมดาและมักจะเผื่อใจไว้ว่าการไม่แพ้ที่นี่ก็นับว่าเป็นความสำเร็จสูงสุดแล้ว อะไรอยู่เบื้องหลังพลานุภาพของกองทัพเดอะค็อป (ชื่อที่กองเชียร์ลิเวอร์พูลใช้เรียกตัวเอง) ที่พร้อมส่งไปอย่างเกินร้อยให้ทีมรักของพวกเขาขนาดนี้
.
.
การมาของ Jurgen Klopp ผู้จัดการทีมชาวเยอรมันเมื่อปี 2015 ได้เปลี่ยนโฉมทีมที่เริ่มตันในทุกมิติ ไม่มีความสำเร็จอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันมายาวนานนับสิบปี ไปสู่ทีมที่เล่นอย่างดุดัน ที่ถูกขนานนามว่าฟุตบอลแบบเฮฟวี่เมทัล วิ่งไล่บอลไม่หยุดไปทั้งสนาม สร้างผลงานดีวันดีคืนมาเป็นลำดับ ผู้เล่นคนแล้วคนเล่าที่เข้ามาสมทบในยุคของเขาซึ่งล้วนเป็นนักเตะที่ไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนัก ต่างแจ้งเกิดเป็นซุปเปอร์สตาร์กันที่นี่ทั้งหมด จนในปี 2019 ลิเวอร์พูลได้กวาดหมดทั้งสองถ้วยสำคัญที่สุดของยุโรปและของโลก และเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา Klopp ก็พาลิเวอร์พูลขึ้นเป็นแชมป์ของพรีเมียร์ลีคได้สำเร็จหลังจากที่สโมสรแห่งนี้ไม่เคยสัมผัสถ้วยนี้เลยในรอบสามสิบปี แถมยังเป็นแชมป์แบบที่ปิดเกมได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์อีกต่างหาก
.
.
Klopp และผู้บริหารของลิเวอร์พูลทำอย่างไรในการปลุกทีมที่เริ่มโรยราอ่อนแรงให้กลับมาสู่ความยิ่งใหญ่ได้ คำเฉลยที่คนในทีม ทั้งผู้เล่นและทีมโค้ชพูดเป็นเสียงเดียวกันคือ เคล็ดลับ Winning Culture สี่ประการ ซึ่งเราสามารถเรียนรู้เพื่อไปปรับใช้ในการบริหารทีมงานและองค์กรได้
.
.
⚽️ 1. อัตลักษณ์ที่ชัดเจน
เมื่อย่างเข้ามาในสโมสรแห่งนี้ สิ่งแรกๆ ที่ Klopp ทำคือการประกาศต่อสื่อมวลชนว่า เราจะเล่นแบบที่เต็มไปด้วยอารมณ์ รวดเร็วและแข็งแกร่ง เค้นพลังจนสุดในทุกๆเกมการแข่งขัน ซึ่งเป็นพื้นฐานของการเล่นแบบ Gegenpressing
การที่ประกาศอัตลักษณ์แบบนี้ตั้งแต่แรกจึงเป็นแนวทางในการสรรหานักเตะของลิเวอร์พูลที่จะต้องฟิตพอที่จะวิ่งไม่หยุดและต้องรักการฝึกซ้อม Klopp ไม่ใช่นักกลยุทธ์แบบผู้จัดการทีมระดับ world class คนอื่นๆ หรือมีปรัชญาการทำทีมที่ลึกซึ้ง เขาเชื่อในความเรียบง่ายของการใช้พลังของทีมที่ต่างคนต่างดึงศักยภาพที่ดีที่สุดของกันและกันออกมานั่นก็คือ ความกระตือรือร้นที่วิ่งพล่านไปทั้งสนามและสิ่งนี้จะกระตุ้นให้คนในทีมไม่หยุดวิ่งเช่นกัน อีกทั้งยังส่งต่อพลังกลับไปยังกองเชียร์ในสนามเพื่อให้คอยอยู่เคียงข้างกัน
.
.
⚽️ 2. ความเอาใจใส่และการเข้าถึงทุกคน
สิ่งที่ Klopp ไม่เคยประนีประนอมเลยคือการเอาใจใส่และการเข้าถึงสมาชิกทุกๆคน ซึ่งเป็นตัวตนของเขาที่จะเห็นได้เมื่อจบทุกเกมการแข่งขันที่จะเข้าไปสวมกอดผู้เล่นทุกคนอย่างอบอุ่น เขาพูดเสมอๆว่า 30% คือเรื่องของแท็กติ๊ก อีก 70% คือการสร้างทีม
ทุกคนมีหน้าที่ทำให้ทุกคนประสบความสำเร็จไม่ใช่ทำเพื่อตัวเอง ถ้าจะให้นิยามวัฒนธรรมองค์กรในแบบของ Klopp สั้นๆคือ Inclusiveness เขาให้ความสำคัญกับผู้เล่นทุกคน ไม่ใช่เพียงแค่คนที่โดดเด่น แต่รวมไปถึงผู้เล่นสำรองและเด็กๆในอคาเดมี่ มีเรื่องที่น่าประทับใจมากคือ Klopp ใช้เวลาในช่วงแรกที่มาทำงานที่สโมสรในการจำชื่อพนักงานที่เมลวู๊ดทั้ง 80 คนได้ทั้งหมดและอาสาเป็นผู้แนะนำพนักงานเหล่านั้นทีละคนให้กับนักเตะของเขาเพื่อให้รู้จักกันและกันมากยิ่งขึ้น ซึ่งบุคลิกแบบนี้หาได้ยากในผู้จัดการทีมชั้นนำของโลกในปัจจุบัน
.
.
⚽️ 3. พื้นที่ปลอดภัยเชิงจิตวิทยา
เมื่อคนรู้สึกปลอดภัยเขาก็จะกล้ารับความเสี่ยงต่อเรื่องต่างๆได้ดีขึ้น Klopp สร้างพื้นที่ปลอดภัยเสมอเพื่อให้ทีมได้กล้าทำสิ่งต่างๆ ในเวลาที่เหมาะสม Klopp แทบไม่เคยตำหนิใครในทีมเลยเมื่อทำผิดเพราะผลที่ได้จะไม่คุ้มเสีย เขาอยากให้ลูกทีมของเขาฟังเขาคนเดียวโดยไม่ต้องไปสนใจเสียงคนอื่นๆ
เกมฟุตบอลเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจแบบฉับพลันหากนักเตะมัวแต่ลังเลและกลัวคำตำหนิของโค้ชหรือเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ตามมาของแฟนๆมากเกินไปก็อาจทำให้พลาดโอกาสทองไป
เหตุการณ์ที่ Trend Alexander Arnold กล้าลักไก่เตะมุมในเกมใหญ่กับบาเซโลน่าซึ่งเป็นเกมตัดสินการเข้าชิงถ้วยยุโรปปี 2019 ทั้งๆที่เป็นผู้เล่นที่อายุไม่ถึง 20 ปีในขณะนั้นเป็นการสนับสนุนถึงพื้นที่ปลอดภัยดังกล่าวได้ดีที่ Klopp สร้างไว้กับเด็กๆของเขา
.
.
⚽️ 4. ข้อมูลคือทุกสิ่ง
Data Analytics ถูกนำมาใช้ในวงการฟุตบอลมาซักระยะแล้ว ที่ลิเวอร์พูลใช้มันมากกว่าสโมสรใดๆ ถึงขนาดที่เป็นสโมสรเดียวที่มีนักคณิตศาสตร์ระดับ PhD และทีมงานทำงานอยู่ที่นี่ พวกเขาใช้ข้อมูลมหาศาลและการวิเคราะห์ทางคณิตศาสตร์ชั้นสูงในการคัดสรรนักเตะเข้ามาในทีม และวิเคราะห์เกมการเล่น เพื่อเป็นข้อมูลการตัดสินใจให้ทีมโค้ช รวมถึงการมาร่วมทีมของโมฮัมเหม็ด ซาล่าห์ ทั้งๆที่ไม่ได้มีผลงานที่โดดเด่นมากนักก่อนหน้านี้ แต่ในฤดูกาลแรกที่เข้ามาอยู่กับสโมสรเขาก็ยิงไปถึง 32 ประตูกลายเป็นดาวซัลโวสูงสุดของฤดูกาลนั้น แม้แต่ Jurgen Klopp เองถูกจ้างเพราะการวิเคราะห์ของนักคณิตศาสตร์ของลิเวอร์พูลโดยที่เขาเหล่านั้นไม่เคยดูเกมการแข่งขันที่ Klopp คุมมาก่อนเลย
.
.
.
เชื่อว่าเคล็ดลับทั้งสี่สามารถนำไปปรับใช้ได้ในการทำงานและการบริหารองค์กรได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะในช่วงวิกฤตที่เป็นอยู่ในขณะนี้เหมือนที่ Jurgen Klopp และผู้บริหารของลิเวอร์พูลนำไปใช้พลิกทีมจากจุดวิกฤติเช่นเดียวกัน
.
.
.
A Cup of Culture

.
>
>
แหล่งที่มาของข้อมูล
https://eatsleepworkrepeat.com/inside-liverpool-fcs-team-c…/
https://www.nytimes.com/…/magazi…/soccer-data-liverpool.html
https://www.thisisanfield.com/…/the-power-of-liverpools-co…/
https://www.nextgov.com/…/five-ways-jurgen-klopps-le…/166482