จากการรวบรวมข้อมูลจากคนมากกว่า 1 ล้านคนถึงทักษะที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ผู้นำทำงานได้ดี นั่นคือ “ทักษะการนำการเปลี่ยนแปลง (Leading Change)” และในกลุ่ม Top Management มองว่าทักษะนี้เป็นทักษะที่จำเป็นที่สุดที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จถึง 32%
.
คำถามที่น่าสนใจคือ “แล้วทักษะอะไรที่ผู้นำควรมีเพื่อนำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง?”
.
A Cup of Culture ขอนำเสนอ Model 5 skills of Leading Change โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
.
📌 1. Foster Innovation (การส่งเสริมนวัตกรรม)
นวัตกรรมเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่ทำให้เกิดความแตกต่าง ผู้นำไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นผู้บุกเบิกในการสร้างนวัตกรรม มันมีความต่างกับการสนับสนุนให้ผู้อื่นสร้างนวัตกรรม บ่อยครั้งที่ในองค์กรของคุณจะมีผู้ที่มีไอเดียแปลกใหม่ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงได้ง่ายกว่า เร็วกว่า และเจ็บตัวน้อยกว่า ซึ่งพวกเขาต้องการคนหนุนหลังและการสนับสนุน เช่น
● Create Innovation Culture: ท่านสามารถสร้างวัฒนธรรมที่ผลักดันให้เกิด innovation ให้พนักงานคิดนอกกรอบ พนักงานไม่สามารถสร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้ได้หากคุณไป micromanage หรือจุกจิกกับพวกเขามากเกินไป ให้อิสระกับพวกเขาในการคิดค้นและสร้างสรรค์ด้วยแรงจูงใจพวกเขาเอง
● Build Effective Team: คัดเลือกสมาชิกในทีมที่มีประสิทธิภาพ กำหนดเป้าหมายและความหมายที่แท้จริงในการทำให้ชัดเจน สร้าง Psychological safety ในทีมเพื่อสนับสนุนการสื่อสารที่เปิดเผย ตรงไปตรงมา (สามารถอ่านบทความเกี่ยวกับ Psychlological Safety : รู้ทันความกลัว อุปสรรคตัวร้ายในการพัฒนาทีมได้ที่ https://brightsidepeople.com/3190-2/)
● Reward failure: หนึ่งในเคล็ดลับที่สำคัญในการสนับสนุนความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมของพนักงาน คือการยอมรับและการให้รางวัลสำหรับความคิดและความริเริ่มของพวกเขา หนึ่งในเหตุผลที่พนักงานไม่แสดงความคิดเห็นของพวกเขาคือ พวกเขาไม่อยากพูดหรือทำอะไรที่แปลกไปจากปกติ ไม่อยากจะมีปัญหา ไม่อยากจะล้มเหลวหากมีอะไรผิดพลาด การให้รางวัลกับพนักงานและทำให้พวกเขาเรียนรู้ว่า ไอเดียไม่ได้ ได้ผลในครั้งแรกเสมอไป จะช่วยให้พวกเขากล้าคิดอะไรที่แตกต่างมากขึ้น
● Take ownership of client problems: องค์กรแห่งนวัตกรรมจะกระตุ้นให้พนักงานดูแลเคสลูกค้าด้วยพวกเขาเอง ปัญหาของลูกค้าหรือข้อร้องเรียนต่างๆ ทำให้องค์กรมีโอกาสในการแสดงการบริการค้าที่แท้จริง ยังสามารถปรับปรุงการออกแบบผลิตภัณฑ์ การบริการ และการจัดส่งได้อีกด้วย
● Benchmark against the best: หากคุณไม่ใช่ผู้นำในตลาด สิ่งสำคัญคือ คุณต้องระบุให้ได้ว่า ”ใครเป็น” และทำให้มั่นใจว่ากลยุทธ์และวิธีการต่างๆของคุณจะสามารถผลักดันให้คุณก้าวนำพวกเขาได้
● Flat management structure: จัดวางองค์กรให้แบนราบ เพื่อเปิดโอกาสในการสื่อสารที่ง่ายขึ้น และสร้างความมั่นใจที่จะสื่อสารกันในองค์กร หรือหากไม่สามารถปรับโครงสร้างได้คุณสามารถสร้าง “Innovation Champion” ผู้ที่สามารถดึงความสนใจของผู้บริหารสู่ไอเดียใหม่
📌 2. Act Quickly (การดำเนินการอย่างรวดเร็ว)
ผู้นำที่สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วมักจะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างมีประสิทธิภาพได้มากกว่า 2 เท่า ยิ่งคุณเริ่มเร็วเท่าไหร่ คุณก็สามารถล้มและลุกได้เร็วกว่าคนอื่น ซึ่งสามารถเริ่มได้โดย
● ลงมือทำทันที
● แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของผู้นำ
● กำหนดสิ่งที่คุณต้องการ
● ประเมินคำสัญญาของคุณที่ให้ไว้เทียบกับเป้าหมาย
● พิจารณาผลกระทบต่างๆ จากการพัฒนาและความล้มเหลว ไม่ว่าจะเป็นด้านเทคโนโลยี คน หรือกระบวนการต่างๆ
● เริ่มต้นจากการเปลี่ยนแปลงที่เล็กๆ สิ่งที่สามารถเริ่มได้ภายใน 48 ชม.
● เปลี่ยนกลยุทธ์ที่เคยคิดไว้
● โน้มน้าวผู้คนให้อยากเปลี่ยน
📌 3. Maintain Strategic Perspective (รักษามุมมองเชิงกลยุทธ์)
เป้าหมายคืออะไร? องค์กรใฝ่ฝันที่จะเป็นเป็นอย่างไร? การเปลี่ยนแปลงที่เราพยายามจะทำ ทำให้เราเข้าใกล้หรือนำเราไปไกลกว่าเป้าหมายนั้นหรือไม่? การเปลี่ยนแปลงโดยไม่มีกลยุทธ์ที่ชัดเจนก็เหมือนกับการหลงป่า บ่อยครั้งที่องค์กรจมอยู่กับกระบวนการเปลี่ยนแปลงโดยลืมที่จะผูกการเปลี่ยนแปลงนั้นกลับเข้ากับกลยุทธ์ขององค์กร
📌 4. Develop External Perspective (เปิดรับมุมมองภายนอก)
ภาพใหญ่คืออะไร? มีแนวโน้มอย่างไร? เกิดอะไรขึ้นในตลาดหรืออุตสาหกรรมของคุณ? ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงองค์กรคือ ผู้คนมักให้ความสำคัญกับสิ่งที่เกิดขึ้นภายในองค์กรของตนและอาจลืมมองไปที่สิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกองค์กร ผู้คนจมอยู่กับความท้าทายภายใน รวมถึงการเมืองและความขัดแย้ง พวกเขาไม่ทันสังเกตเห็นว่าโลกกำลังเปลี่ยนแปลงรอบตัวพวกเขา การจับตาดูภายนอกโดยเฉพาะลูกค้าช่วยให้ทุกคนเข้าใจว่าเหตุใดการเปลี่ยนแปลงจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นและสามารถสร้างมูลค่าจากการเปลี่ยนแปลงได้ คุณยังสามารถสนับสนุนพนักงานโดยการ
● เปิดโอกาสให้หัวหน้างานมีความคิดที่หลากหลายโดยการนำวิทยากรมาช่วยแชร์ความรู้และไอเดียต่างๆ
● กระตุ้นการพัฒนามุมมองภายนอกในกลุ่มผู้บริหารระดับสูง
● ให้มุมมองภายนอก เป็นส่วนหนึ้งในเป้าหมายหรือเกณฑ์การพัฒนาเส้นทางอาชีพในกลุ่มผู้บริหารทุกระดับ
● กระตุ้นให้เกิดการสร้างเครือจ่าย การมีส่วนร่วมในกิจกรรมนอกองค์กรต่างๆ เปรียบเทียบกับองค์กรต้นแบบหรือองค์กรภายนอก, ศึกษางานวิจัย
📌 5. Inspire and Motivate (สรัางแรงบันดาลใจและจูงใจ)
ผู้นำหลายคนมักเริ่มต้นกระบวนการเปลี่ยนแปลงด้วยการผลักดันครั้งใหญ่ โดยมุ่งเน้นไปที่กำหนดกรอบเวลา ความรับผิดชอบ ทิศทางองค์กร การส่งมอบ การผลักดันมีประโยชน์เพราะมันบังคับให้ทุกคนก้าวไปข้างหน้าโดยไม่มีทางเลือกอื่น แต่การผลักดันเพียงอย่างเดียวจะกลายเป็นความทรมาน ดังนั้นผู้นำควรใช้กลยุทธ์แบบผสมทั้งการขับเคลื่อนเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ และสร้างแรงบันดาลใจและแรงจูงใจ ซึ่งผลลัพธ์จะดีกว่ามาก เช่น สร้างความเชื่อมั่นให้กับพนักงาน, ให้อำนาจในการตัดสินใจ, คอยแนะนำและสนับสนุน, ให้โอกาสพวกเขาแสดงความโดดเด่น, ชื่นชมและใส่ใจในสิ่งที่พวกเขาสร้าง
จากการศึกษาข้อมูลจากผู้นำ 90,185 คน ที่มีการขอให้ลูกน้องโดยตรงระบุระดับความมั่นใจว่าองค์กรจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ซึ่งผลออกมาว่า ผู้นำที่มีพฤติกรรมทั้ง 5 ทักษะสูงกว่าค่าเฉลี่ยสามารถทำให้ลูกน้องมั่นใจได้ถึง 70% ว่าองค์กรจะประสบความสำเร็จ ในขณะที่ผู้นำที่มีทักษะทั้ง 5 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยสามารถสร้างความมั่นใจให้ลูกน้องได้เพียง 33%
ผู้นำที่สามารถแสดงทักษะทั้ง 5 ได้เกินค่าเฉลี่ยจะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าและสามารถสร้างความมั่นใจให้กับลูกน้องในการนำการเปลี่ยนแปลงองค์กรให้ประสบความสำเร็จ
A Cup of Culture
———–
#วัฒนธรรมองค์กร
#corporateculture
#culture
.
.
..ที่มาจาก
: https://www-forbes com.cdn.ampproject.org/c/s/www.forbes.com/sites/joefolkman/2020/01/16/5-required-skills-for-leading-change/amp/
https://fi.co/insight/6-keys-to-fostering-an-innovative-culture-within-your-company
https://www.entrepreneur.com/article/282664https://ssir.org/books/excerpts/entry/becoming_more_vigilant
https://www.oreilly.com/business/free/files/guidelines-for-keeping-pace-with-innovation-and-tech-adoption.pdf
https://www.inc.com/glenn-leibowitz/this-is-how-exceptional-leaders-inspire-motivate-their-people.html