ประสบการณ์ที่พนักงานได้รับจากที่ทำงานเป็นสิ่งสำคัญที่ส่งผลต่อความรู้สึกของพนักงานที่มีต่อองค์กร และนำไปสู่ความรู้สึกอยากอยู่และเติบโตไปกับองค์กร หรืออยากที่จะจากไปให้เร็วที่สุดที่เป็นไปได้ เนื่องจากความคาดหวังของพนักงานที่มีต่อองค์กรนั้นไม่ใช่แค่เรื่องของสวัสดิการ เงินเดือน หรือผลตอบแทนต่าง ๆ แต่เป็นสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมในการทำงานที่ดี
ผลการสำรวจจาก LinkedIn survey พบว่า พนักงานยอมที่จะรับค่าตอบแทนในจำนวนที่น้อยกว่า (65%) และ ยอมทิ้งชื่อตำแหน่งงานหรู ๆ (26%) ถ้าเทียบกับต้องอยู่ในองค์กรที่มีสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมการทำงานที่เป็นลบ ผลการสำรวจยังบอกอีกว่า พนักงานให้ความสำคัญและใส่ใจว่าองค์กรที่เขาอยู่ มีสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ส่งเสริมให้พวกเขาได้เป็นตัวของตัวเอง (47%) และได้ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมหรือไม่ (46%) เพราะพวกเขาให้ความสำคัญกับว่าสิ่งที่เขากำลังทำนั้น ได้สร้างผลลัพธ์หรือความแตกต่างในเชิงบวกอะไรบ้างไหม
ซึ่งสิ่งหนึ่ง และเป็นสำคัญที่ทำให้แต่ละองค์กรมีความแตกต่างกัน มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างเด่นชัด ก็คือวัฒนธรมองค์กร แต่พื้นฐานสำคัญที่จะทำให้วัฒนธรรมเหล่านั้น โลดแล่นอยู่ในองค์กรได้อย่างประสบความสำเร็จ คือการที่องค์กรสามารถส่งเสริมให้พนักงานรู้สึกมีส่วนร่วม มีคุณค่า และถูกรับฟังได้ในระดับไหน และนี่คือจุดที่ผู้นำจะเข้ามามีบทบาทสำคัญ
จากรายงานของ Achievers and the Workforce Institute ได้ระบุถึงวิธีการที่พนักงานจะสามารถพัฒนาให้ตัวเองมีประสบการณ์ที่ดีในการทำงาน ไว้ 3 วิธี ซึ่งผู้นำสามารถสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแรงในการสนับสนุนความตั้งใจเหล่านั้นของพนักงานได้ด้วย
1.พัฒนาบทบาทของพนักงานให้ ‘เข้ากัน’ มากขึ้น
พนักงานควรที่จะได้รับการสนับสนุนให้โฟกัสกับงานที่เขามีความชอบและมีความสุข มีแพชชั่นกับสิ่งเหล่านั้น และได้อยู่ในที่ที่เขารู้สึกว่าเขาสามารถส่งมอบคุณค่าได้มากที่สุด เช่นถ้าพนักงานชอบที่จะได้สื่อสารพูดคุยกับลูกค้า สามารถเพิ่มการทำงานที่ทำให้ได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ได้คุยกันแบบ face-to-face ก็จะช่วยให้พนักงานรู้สึกมีส่วนร่วมกับงานนั้นมากขึ้น ซึ่งผู้นำจำเป็นที่จะต้องถามฟีดแบกเพื่อที่จะสามารถสนับสนุนให้พนักงานเติบโตไปในแบบที่เป็นเขาได้ดีที่สุด
2.ใส่ใจกับความสัมพันธ์ของคนในองค์กร
ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานเป็นสิ่งสำคัญที่ส่งผลอย่างมาก ต่อประสบการณ์ที่ดีของพนักงาน นั่นจึงเป็นที่มาว่าทำไมการให้พนักงานได้มีโอกาสทำความรู้จักกับคนในองค์กรจึงเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยงฉลองในวันสำคัญต่าง ๆ ขององค์กร กิจกรรม Team building การชักชวนให้พนักงานทำกิจกรรม “coffee chat” กับเพื่อนร่วมงานที่ยังไม่คุ้นเคยกันนัก และกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย และที่อาจจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด คือ การที่ผู้นำสามารถส่งเสริมให้เกิดการชื่นชมและฟีดแบกกันในทุก ๆ ระดับอย่างสม่ำเสมอ การชื่นชมกันอย่างสม่ำเสมอในทุก ๆ ระดับช่วยสร้างความเชื่อใจและสร้างบทสนทนาให้เกิดขึ้นกับพนักงานในองค์กรได้ ในขณะที่ผู้นำสามารถที่จะถามหาฟีดแบกจากพนักงานเกี่ยวกับการพัฒนาความสัมพันธ์ของคนในองค์กร หรือคำแนะต่าง ๆ เพื่อช่วยพัฒนาให้ความสัมพันธ์ของคนในองค์กรดียิ่งขึ้น
3.เชื่อมโยงทุกบทบาทกับคุณค่าและความสำคัญให้ชัดเจน
พนักงานรับรู้ในสิ่งที่เขาสร้างและส่งมอบให้กับองค์กรอย่างไร? เขาสามารถเข้าใจถึงคุณค่าและความหมายของบทบาทหน้าที่ที่เขาทำตรงกับที่องค์กรมองหรือเปล่า ซึ่งเรื่องนี้เป็นอีกสิ่งสำคัญที่ส่งผลต่อประสบการณ์ของพนักงาน และผู้นำสามารถพัฒนาวัฒนธรรมที่ส่งเสริมการมีอยู่ของทุก ๆ บทบาทหน้าที่ในองค์กรให้มีความสำคัญและมีความหมายในตัวมันเองได้ชัดเจน และสามารถชักชวนให้พนักงานสำรวจและพิจารณาบทบาทของตัวเอง ว่าส่งผลเชิงบวกต่อองค์กรอย่างไร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่าลืมว่าจริง ๆ แล้วสิ่งนี้อยู่ในความรับผิดชอบขององค์กรต้องทำให้ชัดเจนให้มากที่สุดตั้งแต่ต้นเช่นกัน
เพื่อที่จะสร้างวัฒนธรรมที่พนักงานได้รับการ empower และมี engagement กับองค์กร ผู้นำจะต้องมั่นใจว่าวัฒนธรรมองค์กรที่มีกำลังดึงดูดและรักษา ‘คนที่ใช่’ ไว้ และสะท้อนตัวเองอย่างตรงไปตรงมาว่าเขาสามารถ รับฟังพนักงานของเขา จริงจังกับการขับเคลื่อนวัฒนธรรมองค์กร และชื่นชมเมื่อพนักงานทำได้ดีมากน้อยแค่ไหน เพราะทั้งหมดนี้เป็นสิ่งสำคัญต่อการสนับสนุนความต้องการที่หลากหลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
A Cup of Culture
———–
#วัฒนธรรมองค์กร
#corporateculture
#culture
.
.
ข้อมูลจาก:
https://hbr.org/2020/04/build-a-culture-that-aligns-with-peoples-values
.
.
.
