สองปีที่ผ่านมาตั้งแต่ช่วงที่เราเริ่มทำงานที่บ้านกัน หลายคนก็พบกับปรากฏการณ์ที่เวลามันเหมือนจะเดินเร็วกว่าปกติ หนึ่งเดือนผ่านไปราวกันเมื่อวาน และสองปีผ่านไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้ง ๆ ที่เป็นช่วงที่เราอาจจะทำงานหนักหน่วงมากกว่าปกติด้วยซ้ำ นี่อาจจะเป็นสัญญาณของการบริหารเวลาที่ไม่มีประสิทธิภาพ และทำให้ความ Productive มันย้อนกลับมาทำร้ายเรา ⁣

วันนี้เรามีงานวิจัยจาก Fillipa Bellette ผู้ที่เป็น Co-Founder ของบริษัทปรึกษาด้านการจัดการกับความยุ่งเหยิง และความ Burn-out ให้กับองค์กรชั้นนำมาหลาย ๆ ที่คุณ Bellette เขาก็ได้ค้นพบว่าความ Productive ที่ผิดที่ผิดทาง โดยเฉพาะในระหว่างการ Work from Home นั้นอาจจะนำมาซึ่งปัญหาแทรกซ้อนอื่น ๆ ทั้งในด้านกายภาพ สภาพจิตใจ และพฤติกรรม และเธอก็ได้สรุป 7 ข้อควรระวังรวมถึงวิธีการรับมือกับมัน⁣

=================⁣

💠 1. multi-tasking ขั้นสุด⁣

คุณ Bellette ได้พูดถึงว่าจริง ๆ แล้ว Multitask เป็นปรากฏการณ์ที่ค่อนข้างใหม่ ๆ โดยที่จากงานศึกษาพบว่าผู้หญิงมักจะมีแนวโน้มที่จะ Multitask เก่งกว่าผู้ชายมาก ๆ จน Working women หลาย ๆ คนดึงจุดแข็งของตัวเองตรงนี้ออกมาเป็นหนึ่งในคุณสมบัติสำคัญเวลาสมัครงาน แต่ Bellette เองก็มองว่านี่ไม่ใช่วิธีที่ดีในการทำงาน และมันอาจจะมีโทษมากกว่าประโยชน์ด้วยซ้ำ เพราะงานวิจัยพบว่าการ Multitask นั้นส่งผลต่อระดับ IQ ที่ลดลง และลด Produc-tivity โดยรวมลงได้มากถึง 40% ขัดกับภาพลักษณ์ที่การ Multitask เป็นอะไรที่ดู Productive และในระยะยาวแล้วการ multitsk หนัก ๆ สามารถเกิดความวิตกกังวลสะสม รวมไปถึงความเศร้าด้วย ดังนั้นคุณ Bellette จึงแนะนำว่าถ้ามีหลาย ๆ อย่างเกิดขึ้นพร้อมกันให้ทำให้เสร็จไปทีละอย่าง มากกว่าสลับงานไปมา⁣

💠 2. จัดการเวลาไม่ได้⁣

งานวิจัยนี้ยังบอกอีกว่าการจัดการเวลาที่ไม่ดีนั้นก็ส่งผลต่อการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ สังเกตุได้จากความรู้สึกว่าจัดการอะไรไม่ได้ หรือความไร้ระบบระเบียบในชีวิต นี่เป็นสัญญาณว่าเราอาจจะไม่ได้ลำดับความสำคัญสิ่งที่ต้องทำดีพอ และพยายามทำทุกอย่างให้ได้ จนเหมือนอยู่ในวังวนของงานที่ไม่รู้จบ นี่เป็นเวลาที่ทักษะการบริหารจัดการเวลาเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ โดยเครื่องที่มีสามารถลองไปใช้ได้อาจจะเป็น กระดาน Kanban สำหรับลำดับความสำคัญ และติดตามงานของแต่ละโปรเจค มันจะช่วยให้เราเห็นภาพของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในแต่ละวันง่ายขึ้น และบริหารจัดการตัวเองได้มากขึ้น รวมไปถึงเวลาส่วนตัวด้วย⁣

💠 3. ตอบรับมากไป⁣

ลองดู Calendar งานของตัวเองและประเมินกันดูว่าในแต่ละงานที่มีอยู๋ตอนนี้มีสักกี่อันที่เราอยากจะทำมันจริง ๆ และมีกี่อันที่เรารับมาเพราะเกรงใจ หรือรู้สึกผิด หรือถ้ายิ่งกว่านั้นมีกี่อันที่ช่วยให้เราเข้าใกล้เป้าหมายของตัวเองมากขึ้น และกี่อันที่เป็นเป้าหมายของคนอื่น ถ้าเราใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับคำขอของคนอื่น นั่นอาจจะเป็นสัญญาณว่าเราอาจจะตอบรับมากไป และนี่ก็เป็นปัญหาที่หลายคนเผชิญอยู่ ⁣

ซึ่งคุณ Bellette ก็เตือนว่าสิ่งนี้จะนำไปสู่การ burnout อย่างแน่นอน รวมไปถึงทำลาย Productivity และความพึงพอใจในชีวิต และเธอก็มักจะแนะนำให้ลูกค้าของเธอวางแผนไว้ล่วงหน้าว่าจะ ‘Say NO’ กับอะไรบ้าง ‘Maybe’ กับอะไรบ้าง และ ‘YES’ กับอะไรบ้างไว้ก่อนที่คำถามจะมาถึง เพื่อให้เราชัดเจนกับขอบเขตของตัวเอง⁣

💠 4. เหนื่อยล้า⁣

ในฐานะของผู้เชี่ยวชาญด้านการ Burnout ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่คุณ Bellette จะต้องพบกับลูกค้าที่ไม่อยากตื่นขึ้นจากเตียงเป็นจำนวนมาก เพราะว่าความเหนื่อยล้าเป็นสัญญาณที่ชัดเจนมาก ๆ อันหนึ่งของอาการ Burn-out ซึ่งสุดท้ายก็จะวกกลับมาส่งผลเสียต่อคุณภาพการทำงานในที่สุด โดยวิธีการแก้ความล้านั้นไม่ใช่อะไรที่ซับซ้อนเหมือนข้ออื่น ๆ เพราะมันคือการนอนหลับที่เพียงพอนั่นเอง ห้องนอนที่มืด เงียบ และปราศจากแสงของเทคโนโลยีจะช่วยจัดการกับ Cortisol ที่เป็นฮอร์โมนความเครียดได้ในที่สุด⁣

💠 5. วิตกกังวล⁣

คุณ Bellette ให้ความเห็นในเรื่องความวิตกกังวลไว้ว่า นักธุรกิจที่มีความกังวลสูงนั้นมักจะเริ่มตั้งคำถามกับสิ่งที่ตัวเองทำ หรือพูด หยุดทดลองสิ่งใหม่ ๆ และอาจจะหลีกเลี่ยงที่จะประเมินความเสี่ยงในการทำงานเนื่องจากกังวลกับสิ่งที่ไม่อาจรู้ได้ นั่นส่งผลอย่างมากต่อธุรกิจที่ต้องการการเรียนรู้ตลอดเวลา และอาศัยการคิดหาไอเดียใหม่ ๆ⁣

ความรู้สึกวิตกกังวลตลอดเวลาเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าเรากำลังต้องการความช่วยเหลือ Bellette แนะนำว่าควรเริ่มต้นจากการประเมินว่าอะไรบ้างคือสิ่งที่กระตุ้นความเครียดเรา หลาย ๆ คนกังวลกับสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของตัวเอง ดังนั้นเธอจึงแนะนำให้ลิสต์สิ่งที่เป็นกังวลออกมาให้หมด และระบุต่อว่าอันไหนควบคุมได้ หรือไม่ได้ และให้โฟกัสกับการจัดการในสิ่งที่ควบคุมได้แทน⁣

💠 6. สมองมันเบลอ ๆ⁣

เมื่อเราอยู่กับงานมากไปมันมักจะส่งผลต่อสมองเรา ทำให้สมองตื้อ คิดอะไรไม่ออก นี่เป็นอาการที่เรียกว่า Brain Fog หรือสมองขึ้นฝ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเรามีหลายอย่างต้องทำมากเกินจะรับไหว รวมถึงความเครียดเรื้อรังที่อาจส่งผลให้สารสื่อประสาทไม่ทำงาน ส่งผลต่อการเสียสมาธิได้ง่าย คิดอะไรไม่ค่อยออก หลง ๆ ลืม ๆ แต่ Brain Fog ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้น เพราะเราสามารถป้องกันได้ด้วยกันพยายามออกห่างจากคอมพิวเตอร์บ่อย ๆ รวมถึงมีงานศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่บอกว่าพฤติกรรมที่เท้าติดพื้นจะช่วยรีเซ็ตสมองเราได้ดี เช่น เดินเท้าเปล่าสักเล็กน้อย ⁣

💠 7. ความเจ็บปวด⁣

นอกเหนือจากอาการปวดเมื่อย ปวดไหล่ ปวดหัว ปวดท้อง ต่าง ๆ จะเป็นสิ่งที่เหมือนร่างกายเรากำลังตะโกนบอกให้เราหยุดแล้ว มันยังเป็นสัญญาณว่าเราทำมากเกินไป มานานเกินไปอีกด้วย และทำลายประสิทธิภาพในการทำงานของเรา เช่นเดียวกันกับอาการก่อนหน้านี้ที่ผ่านมาการป้องกันคือวิธีที่ดีกว่าการรักษา โดย Bellette แนะนำให้พักบ่อย ๆ และบริหารร่างกายอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงดูสรีระท่าทางการทำงานให้ถูกสุขลักษณะ⁣

==============⁣

หลาย ๆ ท่านที่ติดตาม A Cup of Culture ต่างก็มีภาระงาน และความรับผิดชอบที่หลากหลายทั้งสิ้น ความกังวล ความเจ็บปวด และเหนื่อยล้าจึงไม่ควรมาเป็นอุปสรรคสำหรับทุกท่านในการที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงในองค์กร แต่แน่นอนว่าถ้าเราไม่ตั้งใจบริหารตัวเองและป้องกันอาการ Productivity เป็นพิษเหล่านี้ภารกิจของท่านอาจจะต้องล่าช้าลงได้ในที่สุด⁣


A Cup of Culture⁣⁣⁣⁣⁣⁣
———–⁣⁣⁣⁣⁣⁣
วัฒนธรรมองค์กร⁣⁣⁣⁣⁣⁣
corporate culture⁣⁣⁣⁣⁣⁣
organizational culture⁣

.
.
>>>

.
.
>>>

https://www.forbes.com/sites/jodiecook/2021/11/08/7-signs-your-productivity-is-a-problem-and-how-to-fix-it/?ss=entrepreneurs&sh=22d0a0355b82

https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/26844712/

Share to
Related Posts:
Search

ORG Culture Canvas full report is ready for download. Thank for interesting in our free tools.

The Value Compass full report is ready for download. Thank for interesting in our free tools.

The Value Compass full report is ready for download. Thank for interesting in our free tools.

Search