ไม่บังคับไม่ฝืนใจผู้เข้าอบรม ด้วยเทคนิคสะกิดคนให้เรียนรู้แบบเนียนๆ


ในปัจจุบันที่องค์กรต่างๆ ต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย การฝึกอบรมบุคลากรให้มีสมรรถนะที่สอดคล้องกับความต้องการขององค์กรกลายเป็นเรื่องที่ทวีความสำคัญมากขึ้น แต่ปัญหาที่พบบ่อยในการฝึกอบรม บุคลากรขาดความสนใจ ไม่เข้าใจหรือไม่สามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง หรือแม้แต่เข้าใจและปฏิบัติได้แต่ก็ขาดความจริงจังเพียงพอ ซึ่งล้วนแต่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งสิ้น


เพื่อแก้ปัญหาที่กล่าวมา ผมและทีม Learning Designer ได้ประยุกต์ใช้ Nudge Theory ที่มีพื้นฐานมาจากศาสตร์ที่ศึกษาด้านพฤติกรรมของมนุษย์  (Behavioral Science) ซึ่งคิดค้นโดย Richard H. Thaler นักเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ปี 2018   กับ Cass R. Sunstein นักวิชาการด้านกฏหมายและนักเขียน ในการออกแบบกระบวนการฝึกอบรม


ซึ่ง Nudge Theory นี้คือหลักการที่รู้จักกันดีในชื่อ ‘การสะกิด’ ซึ่งไม่ต้องใช้การบังคับฝืนใจผู้เข้าอบรมแต่อย่างใด เป็นหนึ่งในวิธีการที่ทำให้การฝึกอบรมมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างมหัศจรรย์เลยทีเดียว โดย Nudge Theory ประกอบไปด้วยหลักการที่สำคัญ 3 ข้อ ดังนี้



การออกแบบสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ให้กระตุ้นความสนใจและการมีส่วนร่วมของบุคลากร ผ่านเทคนิคต่างๆ โดยการใช้หลักการออกแบบสิ่งแวดล้อมให้เอื้ออำนวยต่อพฤติกรรมที่พึงประสงค์ในการฝึกอบรม สามารถทำได้หลากหลายวิธี ดังนี้


1. การจัดวางสถานที่และบรรยากาศการเรียนรู้

  • จัดห้องอบรมให้มีบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ เช่น แสงสว่างเพียงพอ อุณหภูมิที่สบาย ไม่มีสิ่งรบกวนสมาธิ
  • จัดที่นั่งให้เหมาะสม เช่น นั่งเป็นวงกลมหรือรูปตัวยู เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมและการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
  • ตกแต่งห้องด้วยสีสันที่กระตุ้นแรงจูงใจในการเรียนรู้ เช่น สีเขียว ฟ้า หรือสีพาสเทล


2. การนำเสนอเนื้อหาและกิจกรรม

  • เรียงลำดับเนื้อหาและกิจกรรมให้น่าติดตามและดึงดูดความสนใจ เช่น เริ่มต้นด้วยเรื่องราวหรือกิจกรรมที่น่าสนใจ จากนั้นค่อยๆ เพิ่มความท้าทายและความซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ
  • ใช้สื่อประกอบที่หลากหลายและน่าสนใจ เช่น วีดิโอ เกม แอนิเมชัน หรือมัลติมีเดียอินเทอร์แอคทีฟ
  • แบ่งกิจกรรมการเรียนรู้เป็นช่วงสั้นๆ สลับกับการพักผ่อน เพื่อรักษาระดับความตั้งใจและสมาธิ


3. การกำหนดกฎ แนวปฏิบัติ และข้อตกลง

  • กำหนดกฎหรือข้อปฏิบัติในห้องอบรมที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วม เช่น ปิดโทรศัพท์มือถือ ไม่พูดคุยนอกประเด็น ร่วมแสดงความคิดเห็นอย่างสม่ำเสมอ
  • ให้ผู้เข้ารับการอบรมได้มีส่วนร่วมในการกำหนดกฎหรือข้อปฏิบัติ เพื่อสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของและยอมรับมากขึ้น
  • ทำข้อตกลงร่วมกันก่อนการอบรม เช่น การแต่งกาย การมาให้ทันเวลา หรือการส่งงานภายในกำหนด


สรุป การใช้ Choice Architecture ในการฝึกอบรมจะช่วยออกแบบสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ให้เอื้ออำนวยต่อพฤติกรรมที่พึงประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นความสนใจ การมีส่วนร่วม หรือความตั้งใจในการเรียนรู้ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาทักษะและสมรรถนะของบุคลากรได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น



การฝึกอบรมที่ดีควรมีช่วงที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และฝึกฝนด้วยกิจกรรมเชิงปฏิบัติการ ซึ่งช่วยให้พวกเขาได้ปรับปรุงและพัฒนาทักษะของตนเอง ผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น Role-Playing (แสดงบทบาทสมมุติเพื่อฝึกฝนทักษะ) ,Group Activity(การทำกิจกรรมเป็นกลุ่ม) หรือ Simulation(การจำลองสถานการณ์จริงเพื่อฝึกฝนทักษะต่างๆ)


แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กิจกรรมเหล่านั้นคือการใช้ Feedback Loop หรือการให้ข้อมูลป้อนกลับอย่างต่อเนื่องในการฝึกอบรมเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้ผู้เข้ารับการอบรมได้รับการพัฒนาและปรับปรุงตนเองอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสามารถทำได้หลากหลายวิธีดังนี้


1. การให้ข้อมูลป้อนกลับระหว่างการฝึกปฏิบัติในห้องอบรม

  • หลังจากให้ผู้เข้าอบรมได้ฝึกทักษะผ่านกิจกรรม เช่น บทบาทสมมุติ การแก้ปัญหากรณีศึกษา ให้วิทยากรหรือผู้สังเกตการณ์ให้ข้อมูลป้อนกลับโดยตรงถึงจุดแข็ง จุดอ่อน และแนวทางปรับปรุง
  • จัดให้มีการวิพากษ์และแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นระหว่างผู้เข้าอบรมด้วยกันเอง เพื่อให้ได้รับมุมมองที่หลากหลาย


2. การสะท้อนผลหลังการฝึกปฏิบัติ

  • จัดเวทีให้ผู้เข้าอบรมได้นำเสนอประสบการณ์ สิ่งที่ได้เรียนรู้ และปัญหาอุปสรรคที่พบจากการฝึกปฏิบัติ


3. การติดตามผลการนำทักษะไปใช้ในสถานการณ์จริง

  • หลังจากการอบรมเสร็จสิ้น ให้ผู้เข้าอบรมนำทักษะที่ได้รับไปทดลองใช้ในการปฏิบัติงานจริง
  • สร้างช่องทางให้ผู้เข้าอบรมสามารถสะท้อนผลการปฏิบัติ รวมถึงปัญหาและอุปสรรคที่พบ เช่น กลุ่มออนไลน์ แบบสำรวจ หรือการประชุมกลุ่มย่อย


4. การจับคู่ผู้เข้าอบรมเป็นพี่เลี้ยง (Buddy System)

  • จับคู่ผู้เข้าอบรมที่มีประสบการณ์และทักษะระดับต่างกัน เพื่อให้คำปรึกษาและข้อมูลป้อนกลับซึ่งกันและกัน
  • ผู้ที่มีทักษะสูงกว่าจะให้คำแนะนำและสนับสนุนผู้ที่มีทักษะน้อยกว่าในการนำทักษะไปใช้


สรุป การให้ข้อมูลป้อนกลับอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้ผู้เข้ารับการอบรมสามารถปรับปรุงและพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ระหว่างการฝึกอบรม หลังจบการอบรม และเมื่อนำทักษะไปใช้ในสถานการณ์จริง ส่งผลให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาทักษะได้อย่างยั่งยืน สอดคล้องกับแนวคิด Feedback Loop ในการพัฒนาบุคลากรอย่างแท้จริง



การสร้างพันธะผูกพันเพื่อรักษาพฤติกรรม (Commitment) ในการฝึกอบรมเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้ผู้เข้ารับการอบรมนำทักษะและความรู้ที่ได้รับไปใช้อย่างต่อเนื่องจนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่พึงประสงค์ ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธีดังนี้


1. การจัดทำแผนปฏิบัติการส่วนบุคคล (Personal Action Plan)

  • ให้ผู้เข้าอบรมกำหนดเป้าหมายและวางแผนการนำทักษะที่ได้รับจากการอบรมไปใช้ในการปฏิบัติงานจริง โดยแผนปฏิบัติการควรมีขั้นตอน กิจกรรม และกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน
  • มีการติดตามความก้าวหน้าและให้ข้อมูลป้อนกลับอย่างสม่ำเสมอ


2. การทำข้อตกลงรายบุคคล (Personal Commitment Contract)

  • ให้ผู้เข้าอบรมเขียนพันธสัญญาหรือข้อตกลงกับตนเองว่าจะนำความรู้และทักษะที่ได้รับไปใช้อย่างจริงจัง อาจให้กำหนดเป้าหมายปลายทางและผลลัพธ์ที่คาดหวัง รวมถึงแรงจูงใจส่วนบุคคล โดยวิทยากรหรือผู้บริหารร่วมเป็นพยานในการทำข้อตกลงครั้งนี้


3.การสร้างข้อผูกมัดทางสังคม (Social Commitment)

  • จัดให้ผู้เข้าอบรมประกาศเจตนารมณ์ในการนำความรู้และทักษะไปใช้ต่อหน้าเพื่อนร่วมงานหรือผู้บริหาร โดยให้เพื่อนร่วมงานหรือผู้บริหารร่วมเป็นพยานและให้คำมั่นสัญญาในการสนับสนุนให้บรรลุเป้าหมาย และจัดให้มีระบบพี่เลี้ยงหรือกลุ่มสนับสนุนเพื่อให้กำลังใจและติดตามความคืบหน้าซึ่งกันและกัน


4.การทำบันทึกข้อตกลงกับผู้บริหาร (Management Commitment Contract)

  • ผู้บริหารและผู้เข้าอบรมร่วมกันจัดทำบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับการนำทักษะและความรู้ไปใช้ในการปฏิบัติงาน ระบุเป้าหมาย ตัวชี้วัดความสำเร็จ และกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน มีการรายงานและทบทวนความคืบหน้าอย่างสม่ำเสมอ โดยผู้บริหารให้ข้อมูลป้อนกลับและสนับสนุน


สรุป การสร้างพันธะผูกพันในการนำทักษะต่างๆ ไปใช้หลังการอบรม จะทำให้ผู้เข้าอบรมรู้สึกมีความรับผิดชอบต่อตนเอง เพื่อนร่วมงาน และองค์กร อันจะนำไปสู่ความมุ่งมั่นและจิตสำนึกในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการทำงานอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับหลักการ Commitment ใน Nudge Theory ที่ว่าด้วยการสร้างพันธะผูกพันจะทำให้บุคคลยึดมั่นในพฤติกรรมนั้นอย่างแน่วแน่ นำไปสู่การพัฒนาบุคลากรที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง



หัวใจสำคัญของการพัฒนาบุคลากรอยู่ที่การทำความเข้าใจความต้องการ คุณค่า ความกังวล และข้อจำกัดของพวกเขา เพราะเราจะไม่สามารถพัฒนาบุคลากรได้หากเชื่อว่าพวกเขาไม่ต้องการหรือไม่สามารถพัฒนาได้


ในการออกแบบกระบวนการที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Nudge Theory จะมุ่งเน้นไปที่การใช้แรงกระตุ้นเล็กๆ น้อยๆ ผ่านการออกแบบสิ่งแวดล้อม การให้ข้อมูลป้อนกลับ และการสร้างพันธะผูกพัน เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคลากรที่พึงประสงค์ ช่วยตอบโจทย์ปัญหาต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน ทำให้การพัฒนาบุคลากรประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน


แต่การประยุกต์ใช้ Nudge Theory จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าเราออกแบบกระบวนการทั้งหมดด้วยความคิดความเชื่อที่ว่าบุคลากรของเราไม่สามารถพัฒนาได้ ดังนั้นสิ่งสำคัญที่เป็นพื้นฐานอยู่เบื้องหลัง Nudge Theory ก็คือ ความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่าบุคลากรทุกคนของเราสามารถพัฒนาและเติบโตขึ้นได้จริงๆ


A Cup of Culture
———–
วัฒนธรรมองค์กร
CorporateCulture
OrganizationalCulture
.
.

ผู้เข้าอบรม
Share to
Related Posts:
Search

ORG Culture Canvas full report is ready for download. Thank for interesting in our free tools.

The Value Compass full report is ready for download. Thank for interesting in our free tools.

The Value Compass full report is ready for download. Thank for interesting in our free tools.

Search