ในช่วงของการ Work from Home แม้ว่าคนทำงานอย่างเราจะได้ความยืดหยุ่นในชีวิตเพิ่มมากขึ้น แต่ปัญหาที่คนส่วนใหญ่พบเจอคือ #การมีภาระงานเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย และนั่นก็ทำให้ความยืดหยุ่นที่ได้เพิ่มขึ้นมาถูกใช้ไปกับการทำงานอยู่ดี นั่นทำให้เป็นการยากมากขึ้นที่เหล่าคนทำงานจะได้มีเวลาพักจากเรื่องงาน และฟื้นฟูส่วนอื่น ๆ ของชีวิต
นี่คือหนึ่งในสาเหตุที่ว่าทำไมปี 2020 พนักงานกว่า 60% นั้นมีประสบการณ์ burnout ไม่หนักก็เบา และในปี 2021 ก็ยังคงพบว่ามีอาการ burnout เพิ่มมากขึ้น และด้วยเทรนด์ด้านสุขภาพจิตที่กำลังย่ำแย่ลงทำให้เหล่าผู้นำเริ่มมีการพูดถึงมาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ ตั้งแต่ hybrid workplace หรือมาตรการวันหยุดไม่จำกัด มาตรการช่วยตัดขาดจากงาน และก็ไฮไลต์ของเราในวันนี้ มาตรการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ และวันนี้เราจะมาคุยกันถึงคำถามที่ว่ามาตรการช่วยเหลือเหล่านี้ทั้งหมด และโดยเฉพาะการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์นั้นจะเป็นประโยชน์จริง ๆ หรือไม่ในการช่วยให้พนักงานได้พัก และแก้ปัญหาการ burnout
:::::::::::
เริ่มจากงานวิจัยของ UK Digital Futures at Work (Digit) Research Centre ที่บอกว่ามาตรการเหล่านี้มักถูกคิดขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหา โดยที่ยังไม่ได้พิจารณาถึงปัญหาที่แท้จริง ซึ่งได้แก่ ภาระงานที่มากเกินไป และการฝืนสังขารพนักงาน และการพยายามมาคิดแก้ปัญหาเรื่องเวลา หรือสถานที่ทำงานนั้นเป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยไม่ได้พยายามตอบปัญหาที่แท้จริง
เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้นแล้วเรามาดูที่ Zew Zealand ที่เริ่มเปลี่ยนเป็นทำงาน 4 วัน/สัปดาห์กันเยอะแล้วว่าเป็นอย่างไรบ้าง โดยนักวิจัยสองท่านคือ Helen Delaney และ Catherine Casey พบว่าหลังจากมีการเปลี่ยนไม่เพียงแต่งานมันจะเข้มข้นขึ้นเท่านั้น พนักงานยังได้รับแรงกดดันจากการบริหารจัดการมากขึ้นอีกด้วย โดยเฉพาะในด้านของการประเมิน และติดตามการทำงาน เนื่องจากความคาดหวังในการเปลี่ยนแปลงว่าถ้าจะเปลี่ยนเป็น 4วัน/สัปดาห์แล้วประสิทธิภาพงานควรที่จะเท่าเดิม หรือมากกว่าเดิมถ้าทำได้ดี
แต่แน่นอนว่าความกดดันระดับนี้มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ต่อเนื่อง และไม่ควรที่จะคาดหวังให้พนักงานที่งานหนักมากแล้วทำงานได้มากขึ้นกว่าเดิมภายในหนึ่งวัน นั่นทำให้ประเด็นสำคัญที่นายจ้างควรจะรู้เกี่ยวกับการทำงานรูปแบบนี้คือ
1) การลดเวลาการทำงานลงจะต้องตามมาด้วยการปรับปรุง หรือการลดภาระงาน
2) เวลาทำงานจะเข้มข้น และเครียดมากขึ้นสำหรับคนทำงาน
::::::::::::::::
🔰 1. การลดเวลาทำงานลงไม่ได้หมายความว่าลดงาน
เป็นเรื่องน่าเศร้าที่การเอาการเข้าถึงงานออก เช่น เวลาทำงาน หรือสถานที่ทำงานมันไม่ได้ทำให้ปริมาณงานหายไปอย่างที่เรายากให้เป็น โดยมีงานวิจัยที่บอกว่าคนทำงานเลือกที่จะทำงานนอกเวลาด้วยหลาย ๆ เหตุผล โดยแม้การทำงานนอกเวลาจะเป็นการสร้างความเครียด แต่การที่พนักงานได้มีโอกาสในการเลือกทำหรือไม่จะช่วยลดความเครียดนี้ได้
Performance ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้จริง ๆ พนักงานไม่ได้มีทางเลือกว่าจะทำงานมากน้อยแค่ไหน โดยงานวิจัยหัวข้อ Work and Rumination พบว่าพนักงานที่มีความรับผิดชอบเยอะมักจะยังคงครุ่นคิดกับงานแม้ไม่ใช่เวลาทำงานตราบใดที่ยังแก้ปัญหาที่กำลังทำอยู่ไม่ได้ เราจะเห็นได้ว่าต่อให้ทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ คนกลุ่มนี้ก็จะยังคงเครียดจากงานไม่ต่างจากเดิม เพียงแต่มีเวลาให้ทำงานน้อยลง นอกยังนั้นยังมีอีกกลุ่มที่การได้มีโอกาสติดตามงาน หรือไม่ห่างหายกับงานนานเกินไปนั้นช่วยให้พวกเขาสบายใจ และลดความเครียดจากการที่ไม่รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ดังนั้นในช่วงเวลาที่หลาย ๆ องค์กรกำลังมองหาช่องทางในการลด burnout ด้วยการพยายามลดเวลางานนี้ ประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาให้ดีก่อนคือ คำถามที่ว่าการพักจากงานในแต่ละรูปแบบจะนำไปสู่ Well-being และ Performance อย่างไรบ้าง
🔰 2. การลดเวลางานไม่ได้เป็นการลดความกดดัน
ที่ New Zealand พบว่าเมื่อปรับเป็น 4 วันแล้วการที่พนักงานจะสามารถทำงานให้ได้ตามเดิมนั้นพวกเขาจะต้องใช้เวลา Break น้อยลง และมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานน้อยลง เพื่อที่จะตอบ KPI โดยคนทำงานบางคนอาจจะถนัดการทำงานแบบนี้ แต่ในอีกด้านก็มีพนักงานที่รู้สึกว่ารูปแบบนี้มีความกดดันมากขึ้นไป และส่งผลต่ความเครียดมากขึ้นจนรู้สึกว่าต้องพักฟื้นเพิ่มอีก 1 วันต่อสัปดาห์ จนวันหยุดที่เพิ่มขึ้นมาไม่มีความหมาย นอกจากนั้นความเข้มข้นในระดับนี้ยังทำลดความคิดสร้างสรรค์ในองค์กร และทำลาย Innovation อีกด้วย
::::::::::::::
บทสรุปของการทดลองทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ที่ New Zealand คือ การลดวันทำงานนั้นไม่ได้ช่วยส่งเสริม Well-being ได้จริงอย่างที่คาดหวังไว้ เนื่องจากเหล่าคนทำงานยังต้องพยายามที่จะรับผิดชอบงานของพวกเขาในเวลาที่จำกัดกว่าเดิม
และแม้ว่าไอเดียของการลดเวลาทำงานเป็น 4 วันนี้จะเป็นแนวคิดที่น่าชื่นชม และออกแบบมาด้วยเจตนาดี การนำไปใช้ยังคงมีความเสี่ยงหลาย ๆ อย่าง ดังนั้นสิ่งสำคัญคือ องค์กรควรตั้งโจทย์ของตัวเองให้ชัดว่าอยากที่จะใช้นโยบายนี้ไปเพื่ออะไร และการส่งเสริม Well-being ของพนักงานแล้วนั้นการเป็นโจทย์หลักแล้ว 4 Days Work อาจเป็นเพียงแค่ 1 ความเป็นไปได้เท่านั้น และไม่ควรที่จะโฟกัสกับการหาทาง Implement มันจนเกินไป แต่ควรมองการพัฒนา Well-being อย่างเป็นระบบ และคิดอย่างรอบด้านถึงผลลัพท์ของแต่ความเปลี่ยนแปลง
A Cup of Culture
———–
วัฒนธรรมองค์กร
Corporate culture
Organizational culture
.
.
Resources:
https://www.emerald.com/insight/content/doi/10.1108/ER-02-2021-0056/full/html
https://www.researchgate.net/publication/230603894_Work_and_Rumination
https://hbr.org/2022/05/what-leaders-need-to-know-before-trying-a-4-day-work-week
