ประโยคที่ว่า “เดี๋ยวให้ผลงานเป็นตัวพิสูจน์ /หรือให้ผลงานพูดแทนความสามารถของตัวฉัน” ฟังดูเท่ และจริงใจ — แต่ในโลกการทำงานจริง คุณคิดว่ามันเพียงพอไหมครับ? แน่นอนว่าในยุคปัจจุบันหลายองค์กรให้ความสำคัญกับ “ผลงาน” และ “ศักยภาพ” มากขึ้น แต่ความจริงที่เจ็บปวดคือ…หลายครั้งคนที่เติบโตไวที่สุด ไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด แต่คือคนที่ ถูกมองว่าเก่งที่สุด
งานวิจัยของ Center for Creative Leadership พบว่า ความก้าวหน้าในองค์กรถูกกำหนดจาก 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่:
- Performance (ผลงาน)
- Image (ภาพลักษณ์)
- Exposure (การสร้างโอกาสในการแสดงออก)
ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า PIE Model จากการศึกษาของ Harvey Coleman, 1996 พบว่า Performance มีผลแค่ 10% ต่อการเติบโตเท่านั้น ในขณะที่ Image และ Exposure มีน้ำหนักรวมกันมากถึง 90%
นี่แปลว่า แม้คุณจะ “ทำได้ดี” แต่ถ้าไม่มีใครรู้ หรือไม่มีใครเห็น… คุณก็จะไม่ถูกนึกถึงเวลาโอกาสมาถึงด้วย
The PIE Theory
โมเดล PIE คือกรอบแนวคิดที่ประกอบด้วยสามองค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ Performance (ผลงาน), Image (ภาพลักษณ์), และ Exposure (การสร้างโอกาสในการแสดงออก) ซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ทุกคนสามารถพัฒนาตนเองและเติบโตในสายอาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. Performance – สร้างผลงานที่ตอบโจทย์องค์กร
ไม่ใช่แค่ทำงานหนัก แต่ต้องทำงานให้ “ตรงเป้า” และ “มีประสิทธิภาพ”:
- กำหนด KPIs ที่ชัดเจนและเชื่อมโยงกับเป้าหมายองค์กร
- ประเมินและพัฒนาตัวเองอย่างสม่ำเสมอ
- จัดลำดับความสำคัญเพื่อส่งมอบงานได้ตรงเวลาและน่าเชื่อถือ
2. Image – สร้างภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ
สิ่งที่ผู้อื่น “รับรู้” มีผลต่อการเติบโตไม่แพ้ความสามารถ:
- สร้าง Personal Brand ที่สะท้อนคุณค่าและความสามารถของคุณ
- ปรับทัศนคติให้เปิดกว้าง มองบวก และร่วมมือกับผู้อื่นได้ดี
- เข้าใจและปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมองค์กร เพื่อเป็นที่ยอมรับอย่างแท้จริง
3. Exposure – เปิดโอกาสให้คนเห็นคุณ
ความสามารถต้องถูก “นำเสนอ” อย่างเหมาะสม:
- รู้จัก จุดแข็ง ของตนเองและกล้าแสดงออกในสิ่งที่ถนัด
- แสวงหาเวทีที่เหมาะสม เช่น การนำเสนอในที่ประชุม โครงการพิเศษ หรือการร่วมงานกับผู้บริหาร
- เตรียมพร้อมเสมอเพื่อคว้าโอกาส แสดงให้เห็นว่าคุณคือคนที่องค์กรไว้ใจได้
3 วิธีเปล่งเสียงของตัวเอง โดยไม่ต้องฝืนเป็นคนอื่น
วิธีที่ 1: ไม่ต้องพูดเยอะ แค่พูดให้ตรงจุด
คุณไม่จำเป็นต้องอวดตัวเองเสียงดัง หรือโพสต์ผลงานรัว ๆ แต่คุณต้องรู้จัก “สื่อสารคุณค่าของตัวเองให้ถูกคน ถูกเวลา” หรือต้อง “อธิบายให้คนอื่นเห็น” ว่าสิ่งที่คุณทำส่งผลอย่างไร เช่น:
- “ในโปรเจกต์ล่าสุด เราสามารถลดระยะเวลารออนุมัติลงได้ 30%”
- “จากรายงานสรุปนี้ ทีมได้บทเรียนที่ช่วยให้รอบหน้าทำเร็วขึ้นกว่าเดิม”
วิธีนี้ช่วยสร้าง “ความน่าเชื่อถือ” โดยไม่ต้องขายตัวเองแบบโจ่งแจ้งหรือฝืนตัวเองเกินไป
วิธีที่ 2: ถ้าคุณพูดไม่เก่ง — ให้คนอื่นช่วยพูดแทน
หา “พันธมิตรเสียงดัง” ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าที่ไว้ใจได้ เพื่อนร่วมทีมที่มองเห็นคุณค่า หรือแม้แต่การให้ลูกค้าหรือ stakeholder เป็นคนเล่าแทนคุณ เพราะ “คนพูดแทนเรา” มีอิทธิพลมากกว่าการพูดด้วยตัวเองเสียอีก งานวิจัยโดย Adam Grant ใน Give and Take ระบุว่า ผู้ที่ “ให้ก่อน” มักได้รับการสนับสนุนจากเครือข่ายกลับคืนมาในระยะยาว
วิธีที่ 3: เลือก “พื้นที่” ที่คุณรู้สึกมั่นใจในการสื่อสาร
คุณไม่จำเป็นต้องพูดกลางเวที — แค่พูดให้ถูกที่ ถูกคน ถูกเวลา ถ้าคุณไม่ชอบพรีเซนต์ ลองใช้ช่องทางอื่น เช่น:
- เขียนอีเมลสรุปงาน
- แชร์บทเรียนในช่องแชตทีม
- นัด one-on-one กับหัวหน้าเพื่ออัปเดตความคืบหน้า
การเลือก “สนามที่ถนัด” ทำให้คุณเปล่งเสียงได้โดยไม่ต้องฝืนตัวเองเกินไป
บทสรุปส่งท้าย – คุณไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองให้เป็น “คนพูดเก่ง” แต่คุณจำเป็นต้อง ไม่เงียบ กับคุณค่าที่คุณสร้างไว้ ดังนั้น คุณต้องเรียนรู้วิธีสื่อสาร “ตัวตนที่มีคุณค่า” ในแบบที่เข้ากับคุณที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการพูดผ่านผลลัพธ์ ผ่านทีม หรือผ่านการสร้างพันธมิตรใดๆ ก็ตาม
เติบโตในองค์กรไม่ใช่การ “ตะโกนแข่งกัน”
แต่คือการทำให้สิ่งที่คุณทำ…ถูกเห็น โดยไม่ต้องเปลี่ยนตัวตน
A Cup of Culture
────
วัฒนธรรมองค์กร
corporateculture
organizationalculture
.
.

Harvey Coleman https://insideoutimage.co.uk/articles/pie-for-career-progression
Coleman, H. (1996). Empowering Yourself: The Organizational Game Revealed.
Grant, A. M. (2013). Give and Take: Why Helping Others Drives Our Success. Penguin Books.
Center for Creative Leadership (CCL). “Executive Presence: What Is It, Why You Need It, and How to Get It”
https://arrowheadconsulting.com/2021/02/24/the-p-i-e-theory-of-success-performance-image-exposure/
https://thenetworkinginstitute.com/media/networking/the-pie-theory-performance-image-and-exposure-in-career-progression/
