หนึ่งในข่าวที่ร้อนแรง สื่อชั้นนำทั่วโลกพร้อมใจกันตีพิมพ์ และถูกนำไปพูดถึงเป็นวงกว้างที่สุดในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา คงจะหนีไม่พ้นการที่คุณ Sundar Pichai, CEO ของ Google ออกมาประกาศว่าจะหยุดรับสมัครพนักงานทั่วโลกเอาไว้ก่อน แน่นอนว่าเราทุกคน แม้จะไม่ได้ตามข่าวสารบ้านเมืองเลยก็ตาม ก็ย่อมรู้สึกเหมือน ๆ กันว่าภาวะเศรษฐกิจโลกดูเหมือนจะถดถอยมาสักพักใหญ่ และการที่บริษัทชั้นนำกระดูกเบอร์ใหญ่ของโลกอย่าง Google ออกมาแสดงความเคลื่อนไหวเช่นนี้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ก็ย่อมไม่ธรรมดา
อันที่จริงการประกาศ hiring freeze หรือหยุดรับพนักงานใหม่ ถือเป็นมูฟที่โอเคมากแล้ว เพราะย่อมต้องดีกว่าการประกาศเลย์ออฟหรือปลดพนักงานปัจจุบันแทนเป็นแน่ กระนั้นก็ตาม ก็ยังคงสร้างความอกสั่นขวัญแขวนให้พนักงานอยู่ดี
แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ในขณะที่ทั่วโลกเหมือนกำลังจะก้าวข้ามจากโควิด-19 ไปสู่อนาคตที่ดีกว่ากันได้แล้ว แต่อยู่ ๆ ทำไมจึงเกิดความระส่ำระส่ายขึ้น ทั้ง ๆ ที่หากนับเฉพาะบรรดาบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ระดับโลก ช่วงโควิดเป็นช่วงที่บริษัทเหล่านี้กว้านรับคนเข้าทำงานเป็นว่าเล่นด้วยซ้ำ
คำตอบ คือ ความไม่แน่นอน ซึ่งก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาจากหลายปัจจัยรวมกัน ทั้งเงินเฟ้อที่ล่าสุดเพิ่งแตะรับดับ 9.1% ในสหรัฐ สูงที่สุดในรอบ 40 ปี ทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังนึกภาพฉากจบไม่ออก ตลอดจนมาตรการของ FED ในการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยซึ่งอาจนำมาซึ่งภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือ recession ทั่วโลก ไหนจะตลาดหุ้น ทองคำ และคริปโตที่ไปไม่สวยด้วยกันทั้งสิ้น คือมองไปทางไหนก็เห็นข่าวร้ายเต็มไปหมด จนเดาไม่ออกว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
และเพื่อตอบสนองต่อความไม่แน่นอนทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา บริษัทใหญ่ ๆ จึงเลือกรัดเข็มขัด ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า โดยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา คุณ Sundar Pichai ได้เขียนอีเมลส่งหาพนักงาน Google ใจความว่าให้พนักงานทุกคนทำงานอย่างตั้งอกตั้งใจ เอาจริงเอาจัง ด้วยความกระฉับกระเฉงตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา และสำคัญที่สุด คือ ใสจิตวิญญาณของความเป็นผู้ประกอบการลงไปเกินร้อย ผมขอยกต้นฉบับข้อความทั้งหมดของผู้เขียนซึ่งเป็นภาษาอังกฤษมาไว้ ณ ที่นี้ด้วย ดังนี้
The parent company of Google, told his staff to go about their jobs with greater urgency, have a sharper focus and act in an entrepreneurial manner.
Sundar Pichai, the CEO of Alphabet,
จากข้อความดังกล่าว Sundar บอกกลาย ๆ กับพนักงานว่าต้องโชว์ฝีมือเพื่อรักษาหน้าที่การงานของตัวเองไว้ (make things happen to keep their jobs) ซึ่งไม่ใช่คำขู่แต่อย่างใด หากเทียบกับบริษัทยักษ์ใหญ่อีกมากมายที่ปลดพนักงานนับหมื่น ๆ คนแล้วจริง ๆ ในภารกิจลดขนาดขององค์กรตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
จึงเป็นเรื่องที่มีเหตุมีผลและเข้าใจได้ 100% ในมุมธุรกิจ ที่องค์กรตัดสินใจปรับตัวเข้าสู่สภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอน ผู้บริหารกดปุ่ม pause รับคนเอาไว้ก่อน อย่างน้อยก็ดีกว่าไล่พนักงานออกถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ หรือเราอาจพูดได้ว่านี่คือช่วงเวลาจำศีลและรอดูทางลมไปก่อน
แล้วในมุมของพนักงานอย่างเราๆ ควรเตรียมตัวอย่างไร?
เบื้องต้นเราสามารถประเมินได้ว่าองค์กรที่เราทำงานอยู่มีความสุ่มเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบหรือไม่ หากเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยขึ้นจริง เรายังสามารถขอพูดคุยกับหัวหน้าถึงสถานการณ์ของบริษัท และสอบถามเพื่อให้แน่ใจว่าเราและทีมยังปลอดภัยดีมั้ย ทั้งนี้ก็ขอให้ฟังหูไว้หูและมีแผนสำรองเอาไว้บ้างก็ดี เช่น การเริ่มมองหาโอกาสใหม่ ๆ จากเครือข่ายเพื่อนฝูงของเรา หรือแม้กระทั่งลงมือสมัครงานและลองสัมภาษณ์ดูซะเลยก็ไม่เสียหายอะไร อย่างน้อย ๆ เมื่อเริ่มมีโอกาสดี ๆ เข้ามาในชีวิต นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ได้ใส่ไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว และหากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เราจะเป็นคนแรก ๆ ที่สามารถปรับตัวและเอาตัวรอดได้อย่างทันท่วงที อันถือเป็นทักษะสำคัญที่สุดที่ทำให้มนุษยชาติดำรงอยู่ได้มาจนถึงทุกวันนี้
A Cup of Culture
———–
วัฒนธรรมองค์กร
Corporate culture
Organizational culture
Source: