คุณเคยมีชั่วขณะหนึ่งในชีวิตหรือไม่? ที่หากเราเร่งเทปชีวิตไปข้างหน้าแล้วหลับตาจินตนาการว่าในวันที่เราจากโลกนี้ไปแล้ว… เราอยากถูกจดจำแบบไหน? เราอยากให้คนในครอบครัว เพื่อนสนิทมิตรสหาย หรือคนรู้จักที่เราเคยพบเจอ คิดถึงเราว่าเป็นคนอย่างไร? และข้อสุดท้ายเราอยากทิ้งสิ่งดีๆ อะไรไว้ให้กับโลกใบนี้บ้าง?
คำถามนี้อาจทำให้รู้สึกปนเศร้านิด ๆ เพราะคงไม่มีใครอยากนึกถึงวันสุดท้ายของชีวิตนี้ แท้จริงแล้วชุดคำถามเหล่านี้ถือเป็น Wake Up Call ชั้นดีที่จะทำให้เราเกิดความตระหนักขึ้นมาได้ว่าเราใช้ชีวิตในทุก ๆ วันไปเพื่ออะไร มีอะไรที่เราอยากปรับแก้หรือไม่ เพราะอันที่จริงเราทุกคนล้วนเป็นผู้เขียนบทและผู้กำกับชีวิตของตนเองทั้งสิ้น
::::::::::::::::
บทความนี้ แปลมาจากต้นฉบับภาษาอังกฤษที่ถูกเขียนโดยคุณ Jason Hennessy, Founder และ CEO ของบริษัท Hennessey Digital ซึ่งเป็น SEO agency ชื่อดัง เราอาจพูดได้ว่าคุณเจสันก็เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง เมื่อเร็ว ๆ นี้ เจสันเสียคุณปู่อันเป็นที่รักไป โดยในงานศพ เมื่อเขามองไปรอบ ๆ ยังผู้ร่วมงานซึ่งล้วนรักและเคารพคุณปู่ กอปรกับดอกไม้พวงหรีดและเสียงเพลงบรรเลงในงาน บรรยากาศเหล่านี้ก็ทำให้เขาเกิดความคิดแว่บเข้ามาในหัวว่าตอนสุดท้ายในชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไร แต่แทนที่จะรู้สึกหวาดกลัวช่วงเวลาดังกล่าว ความคิดนี้กลับทำให้เจสันรู้สึกฮึกเหิมมีพลังประหนึ่งตรัสรู้แล้วว่า เราทุกคนล้วนมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด 100% ในการเป็นผู้เขียนเรื่องราวชีวิตของตนเองขึ้นมา แล้วในเมื่อเราทุกคนมีอำนาจเช่นนี้อยู่ในมือแล้ว ทำไมเราจึงจะไม่เขียนเรื่องราวชีวิตที่มีความหมายล่ะ?
เจสันจึงได้สรุปข้อคิดที่ได้จากงานศพคุณปู่ออกมาเป็น 6 เคล็ดลับที่จะช่วยให้เราสร้างชีวิตชนิดที่เมื่อถึงวันต้องใกล้จากโลกนี้ไป เมื่อมองย้อนกลับมาก็จะไม่เสียดาย เอาไว้ดังนี้
🍀 1) เขียนแถลงการณ์การเสียชีวิตของตนเองขึ้นมาหนึ่งฉบับ
อาจจะฟังดูแปลก ๆ หรือชวนขนหัวลุกไปสักนิด แต่นี่คือ exercise ที่ดีที่สุดที่จะทำให้เราฉุกคิดกับชีวิตในปัจจุบัน แถลงการณ์อาจหมายถึงจดหมายหนึ่งฉบับที่เขียนว่าในวันสุดท้ายของชีวิต เมื่อมองย้อนกลับมา ความสำเร็จที่จับต้องได้ของเรามีอะไรบ้าง ผู้คนจะจดจำเราในฐานะอะไร
สิ่งเหล่านี้จะช่วยย้ำเตือนถึงเป้าหมายของเราที่อาจเลือนรางไปตามกาลเวลา ฝันในวัยเด็กหรือวัยรุ่นที่ฝ่อลงเมื่อยิ่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาเผชิญกับโลกอันแสนวุ่นวาย เขียนมันขึ้นมาอีกครั้งและพิจารณาว่าเราต้องทำอย่างไรเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายนั้น ยิ่งเริ่มต้นเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งมีเวลาในการเขียนบทชีวิตให้ตนเองมากขึ้นเท่านั้น สุดท้ายเราก็จะได้ roadmap ชีวิตงอกขึ้นมาอีกหนึ่งแผ่น ซึ่งนี่ต่างหากคือสิ่งที่เราจริง ๆ
🍀 2) ออกไปท่องโลกและถ่ายภาพให้ได้มากที่สุด
ลองถามตัวเราเองดูว่าเราได้ขีดฆ่า bucket list สถานที่ท่องเที่ยวที่เราอยากไปออกไปบ้างแล้วหรือยัง บ่อยครั้งการท่องเที่ยวเป็นเพียงความอยาก คือรู้ทั้งรู้ว่าดีแต่ก็ไม่ได้ทำเสียที ด้วยอาจมองว่าเป็นค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยในช่วงเศรษฐกิจโลกฝืดเคืองเช่นนี้ แต่อันที่จริงการออกเดินทางคือของขวัญที่ดีที่สุดที่เราจะมอบให้กับตัวเองได้
และแทนที่จะมองว่าการเดินทางท่องเที่ยวเป็นค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ก็ขอให้ลองปรับทัศนคติสักเล็กน้อยเป็นว่านี่คือการลงทุนเพื่อการศึกษาหาความรู้แทน เราจะได้อะไรมากมายจากการออกเดินทางที่มากไปกว่าความสุนทรีย์ การเดินทางช่วยให้เราเปิดใจรับวัฒนธรรมใหม่ ๆ ให้เราได้เห็นสิ่งที่ต่างไปจากสังคมที่เราอยู่ ซึ่งนำไปสู่การเกิด empathy ในที่สุด
อีกเช่นเคย ยิ่งเราเริ่มได้เร็ว ทำได้บ่อย ใจของเราก็จะยิ่งเปิดออกกว้างขึ้นจนกลายมาเป็นทักษะชีวิตสำคัญ คือการเป็นคนเปิดรับสิ่งใหม่อยู่เสมอ
🍀 3) หมั่นคอยดูแลความสัมพันธ์ให้ดีอยู่เสมอ
ความสัมพันธ์ที่ดี ที่แน่นแฟ้นกับคนรอบข้างส่งผลต่อสภาพจิตใจของเราอย่างไม่น่าเชื่อ การมีครอบครัวและเพื่อนที่คอยหนุนหลังเราอยู่เสมอทั้งในเวลาที่ดีและแย่ของชีวิต คือ สมบัติที่ล้ำค่าที่สุดที่มนุษย์คนนึงจะหาได้ ให้เราลองหลับตาแล้วนึกภาพดูว่าหากเราจัดงานศพเล็ก ๆ ของตนเองจะมีใครไปบ้าง คนเหล่านั้นแหละคือคนที่เราต้องสานสัมพันธ์ที่ดีด้วยไปตลอดชีวิต
🍀 4) ทำตัวเป็นคนทำงานในแบบที่เราอยากทำงานด้วย
หนึ่งในบทสำคัญที่สุดของเรื่องราวชีวิตที่เราเขียนขึ้น คือ เราเป็นผู้นำแบบไหนให้กับคนอื่น ตอนหนึ่งของหนังสือ Your Leadership Legacy ของ Robert Galford และ Regina Maruca เขียนเอาไว้ว่า ทั้งชีวิตส่วนตัวและชีวิตทำงานของคน ๆ หนึ่งจะเป็นอย่างไร คือผลลัพธ์จากการที่เขาคนนั้นทำงานร่วมกับเรา
หมายความว่า ทุกการกระทำในชีวิตประจำวันของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเราสวมหัวโขนเป็นผู้นำองค์กร ล้วนส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้อื่นทั้งทางบวกและลบทั้งสิ้น เราไม่มีทางรู้เลยว่าบางครั้งคำพูดหรือการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เรามองข้ามอาจส่งผลอย่างยิ่งใหญ่ต่อชีวิตของลูกน้องหรือเพื่อนร่วมงานได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทุกการกระทำไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ จะถูกนำมารวมกันแล้วตัดสินว่าเราเป็นคนอย่างไร
🍀 5) หาฮีโร่ของตนเองให้เจอ
สำหรับหลาย ๆ คน การที่อยู่ ๆ จะมาเขียนว่าอยากมีชีวิตที่เหลืออย่างไร หรืออยากทิ้งอะไรเอาไว้ให้กับโลกนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้ง่าย ๆ ดังนั้นหนึ่งในการเริ่มต้นที่ดีคือการมองหาแบบอย่างที่ดีสักคน ใครที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับเรา? คำตอบที่ได้อาจช่วยชี้นำไปสู่ข้อมูลสำคัญได้ว่าเราให้คุณค่ากับอะไรในชีวิต และใช้คำตอบหรือคุณค่าที่เรายึดถือนี้เป็นสารตั้งต้นต่อยอดสู่การออกแบบแผนชีวิตของตนเอง
และเมื่อเราเริ่มออกเดินทางตามเส้นทางที่ได้วางเอาไว้แล้ว อาจจะ 5 ปี หรือ 10 ปี เมื่อเวลาผ่านไป เราก็จะเริ่มมีภารกิจใหม่ ๆ ในชีวิต คือการถ่ายทอดความรู้ความสามารถของตนเองให้กับคนรุ่นหลัง เราอาจจะกลายมาเป็นฮีโร่หรือแบบอย่างให้กับคนอื่นก็คราวนี้ และเมื่อเวลานั้นมาถึง เราก็จะเริ่มเห็นภาพชัดขึ้นแล้วว่าเราพอจะมีอะไรที่ทิ้งเอาไว้ให้กับโลกใบนี้ได้บ้าง
🍀 6) จากโลกนี้ไปอย่างงดงาม
ท้ายที่สุดแล้วเราทุกคนล้วนกำลังใช้เวลาในทุก ๆ วันเดินทางไปที่จุดหมายปลายทางเดียวกันทั้งสิ้น กวีบทหนึ่งที่ถูกประพันธ์โดย Bessie Stanley กล่าวว่า
“ในวันสุดท้ายของชีวิต เราอาจจากโลกนี้ไปแบบสวยงามหน่อย หากกำลังเอนกายอยู่ในสวนหลังบ้านอันเขียวขจี ห้อมล้อมไปด้วยลูกหลานที่ล้วนเติบโตมาพร้อมกับจิตใจที่ดี พ่วงท้ายด้วยฐานะทางสังคมที่พอใช้ได้ประมาณหนึ่ง
แต่หากเพียงได้รู้ว่าการมีอยู่ของเราตลอดทั้งชีวิตที่ผ่านมาได้ทำให้มนุษย์สักคนหนึ่งหายใจได้สะดวกขึ้น นี่ก็เพียงพอแล้วที่จะพูดได้เต็มปากว่าเรามีชีวิตที่ประสบความสำเร็จ”
A Cup of Culture
———–
วัฒนธรรมองค์กร
Corporate culture
Organizational culture
.
.