คำว่า “ทำงานแบบครอบครัว” ดูเป็นคำที่ช่วยสร้างอารมณ์หวานชื่นให้กับองค์กร เพราะข้อดีของมันคือ การช่วยสร้าง sense of belonging ให้กับทุกคน ซึ่งหากดูเผิน ๆ แล้วมันคงจะดีไม่น้อยถ้าเราได้ใช้ชีวิตในการทำงานเสมือนการได้อยู่กับครอบครัว แต่ในความเป็นจริงแล้วผลการศึกษาจาก Rivers State University กลับให้ผลลัพธ์ในทางตรงกันข้าม 4 ประการ ได้แก่
=============
❗1. คำว่า “ครอบครัว” ทำลายพื้นที่ส่วนตัว
เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะต้องการสนิทสนมกับเพื่อนร่วมงานในระดับใกล้ชิด รวมไปถึงไม่ได้ต้องการให้ชีวิตตัวเองถูกตั้งอยู่บนองค์กร แต่ผู้คนส่วนใหญ่กลับต้องการสงวนชีวิตส่วนตัวไว้สำหรับอย่างอื่นนอกจากการทำงาน แต่เมื่อองค์กรมีวัฒนธรรมในแบบของ “ครอบครัว” นั่นทำให้พื้นที่ส่วนตัวของพนักงานมักจะถูกมองว่าเป็นเรื่องที่ต้องเปิดเผยไปโดยปริยาย
มีงานศึกษาที่พบว่าเมื่อองค์กรใช้คำว่าครอบครัวเข้ามาในการทำงานทำให้พนักงานมีแรงจูงใจมากขึ้นในการทำงาน ผูกพันธ์กับองค์กรมากขึ้น ลดความขัดแย้งระหว่างการทำงาน แต่อีกสิ่งที่ตามมาคือความรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้รับสิทธิ์ในการมีพื้นที่ส่วนตัวเลย
❗2. พนักงานมักโดนเอาเปรียบจากคำว่า”ครอบครัว”
ในวัฒนธรรมแบบครอบครัวพนักงานพร้อมที่จะเข้าไปช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานอย่างทันทีเมื่อมีใครต้องการความช่วยเหลือ รวมถึงอาจจะยื่นมือเข้าช่วยก่อนที่จะถูกขอด้วยซ้ำ แต่งานศึกษาก็พบเช่นกันว่าพนักงานกลุ่มนี้มักจะเป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อการทำผิดศีลธรรมเพื่อปกป้องคนในองค์กร รวมถึงมีความเสี่ยงในการโดนเอาเปรียบจากนายจ้าง เช่น การโดนขอให้ทำงานนอกเวลาโดยไม่มีค่าคอบแทน หรือนอกเหนือจากความรับผิดชอบที่กำหนด จนถึงขั้นถูกขอให้รักษาความลับบางอย่างขององค์กร
และเมื่อพนักงานทำงานด้วยความคิดแบบนี้ การ burnout จึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นนำไปสู่วัฒนธรรมที่มีการ burnout เป็นเรื่องปกติ และถ้าใครยังไม่เหนื่อยไม่ล้าถือว่ายังทำเพื่อ “ครอบครัว” ไม่พอ
❗3. คำว่าครอบครัวทำให้เกิดโครงสร้างองค์กรแบบแปลก ๆ
เมื่อเราบอกว่าองค์กรนี้คือครอบครัวนั่นหมายถึงความสัมพันธ์แบบพ่อ-แม่-ลูกที่ตามมา เพราะนายจ้างมักจะสวมบทบาทของพ่อ-แม่เสมอ นั่นทำให้พนักงานในวัฒนธรรมองค์กรแบบครอบครัวไม่ได้รู้สึกว่าได้รับสิทธิในการตัดสินใจเท่าที่ควรเป็น เพราะพ่อ-แม่มักจะเป็นคนตัดสินใจในครอบครัว และไม่รู้สึกว่าได้รับการ empower ในการทำงานด้วยตนเอง และแสวงหาความท้าทายใหม่ ๆ นั่นทำให้รูปแบบการทำงานเป็นไปในลักษณะของการที่ทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับนายจ้าง มากกว่าการที่พนักงานจะทำงานได้ด้วยตนเอง
❗4. การฟีดแบคเป็นเรื่อง personal เสมอในครอบครัว
เพราะความเป็นครอบครัวที่ให้ความรู้สึกเหมือนสิ่งถาวร เมื่อเอามาใช้ในการทำงานนั่นสร้างความรู้สึกของการต้องทนอยู่ร่วมกันให้ได้ นั่นช่วยลดทอนการกระทบกระทั่งกันระหว่างบุคคล แต่ในขณะเดียวกันทำให้ constructive feedback ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะในระหว่างนายจ้าง-ลูกจ้าง
วัฒนธรรมการทำงานแบบครอบครัวนั้นช่วยสร้าง sense of belonging และความสัมพันธ์ที่ดีภายในองค์กร แต่หลายครั้งที่ข้อดีเหล่านี้มันไม่คุ้มกับปัญหาที่ตามมา เช่น เมื่อเส้นแบ่งการทำงานกับชีวิตส่วนตัวไม่ชัด โอกาสเข้าใจผิดก็จะเกิดขึ้นได้มากขึ้น นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การทำงานแบบครอบครัวมักจะดีต่อนายจ้างมากกว่าลูกจ้าง เพราะความกำกวมนี้มักจะเปิดโอกาสให้นายจ้างเอาเปรียบลูกจ้างไปโดยไม่ได้ตั้งใจได้ง่าย
=================
และในยุคปัจจุบันพนักงานน้อยคนนักที่จะอยู่กับองค์กรใดองค์กรหนึ่งเกิน 5 ปี และยิ่งเวลาผ่านไปเทรนด์นี้ยิ่งสั้นขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นนายจ้าง และพนักงานเองควรที่จะยอมรับความเป็นจริงนี้ให้เร็วที่สุด เพราะความสัมพันธ์แบบครอบครัวนั้นเป็นสิ่งที่เหนียวแน่น แต่ความเหนียวแน่นนั้นมักจะไม่ใช่เรื่องดีต่อการเติบโตทั้งสำหรับองค์กร และพนักงาน
A Cup of Culture
———–
วัฒนธรรมองค์กร
Corporate culture
Organizational culture
.
.
>>>>

https://www.researchgate.net/publication/325615497_organizational_family_culture_theoretical_concept_definition_dimentions_and_implication_to_business_organizations
.
.
>>>>
