ความก้าวหน้าเติบโตในหน้าที่การงานล้วนเป็นเป้าหมายของพนักงานแทบทุกคน เพราะเป็นสิ่งที่มาพร้อมกับชื่อเสียงเงินทองที่มากขึ้นก็ดี เป็นที่นับหน้าถือตาก็ดี แต่ในอีกมุมหนึ่งการเลื่อนตำแหน่งที่เกิดขึ้นเร็วเกินไป พนักงานบางคนมีความทะเยอทะยานมากเกินไป หรือตัวองค์กรเองบางครั้งก็ตัดสินใจเลื่อนตำแหน่ง top performers แบบไม่ได้มองให้รอบด้านเกินไป ล้วนนำมาซึ่งสิ่งที่เรียกว่า “ร้ายมากกว่าดี”
จะด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่ การก้าวขึ้นมารับตำแหน่งหัวหน้างานด้วยความไม่พร้อม อาจส่งผลให้พนักงานในแผนกเริ่มไม่มีความสุขจากความเป็นผู้นำและการบริหารจัดการของหัวหน้าคนใหม่นี้ และส่งผลให้สมาชิกในทีมทยอยโบกมือลา เกิดเป็น turnover ที่สูงขึ้นในที่สุด ความเสียหายที่เกิดจากการเป็นหัวหน้าแย่ ๆ นี้ สร้างความเสียหายให้บริษัทในอเมริการวมแล้วกว่าสามแสนหกหมื่นล้านเหรียญ หรือสิบสองล้านล้านบาท ต่อปี
……………..
แล้วทำไมพนักงานระดับปฏิบัติการที่มีความสามารถโดดเด่นหลาย ๆ คน จึงไม่ประสบความสำเร็จเมื่อก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้างาน?
ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า ความสำเร็จส่วนตัว ไม่เท่ากับ ความสำเร็จของทีม ดังนั้นเราจึงไม่สามารถพิจารณาการเลื่อนตำแหน่งจากผลงานที่ผ่าน ๆ มาเพียงอย่างเดียวได้ เพราะการเลื่อนตำแหน่งนั้น ว่าที่ผู้จัดการคนนี้อาจเจอทั้ง การเมืองภายในองค์กรที่เข้มข้นขึ้นในระดับที่พนักงานปฏิบัติการมองไม่เห็น ทั้งยังต้องมีเนื้องานลักษณะ HR เพิ่มเข้ามา หรือจะเป็นเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ อย่างการบริหารจัดการงบประมาณ เป็นต้น
ท้ายที่สุด ว่าที่ผู้จัดการคนนี้แทบไม่ได้ใช้ทักษะความรู้เดิมที่ตัวเองชำนาญเอามาก ๆ แถมรู้ตัวอีกที สิ่งที่ตนเองต้องทำก็ไม่ใช่สิ่งที่ถนัดเอาซะเลย
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ หากเป็นคุณที่กำลังฝันถึงการเติบโตก้าวหน้าในอาชีพ ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณควรเก็บความทะเยอทะยานเอาไว้ในกระเป๋า และล้มเลิกความตั้งใจที่มี ในทางตรงกันข้าม ไม่ควรมีใครมาบอกว่าคุณทำอะไรไม่ได้ เพียงแต่ว่าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่หมายมั่นปั้นมือจะก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าคนนายคน คงจะดีกว่าหากได้ลองเช็คความพร้อมรอบด้านของตนเองด้วย 3 แนวทางง่าย ๆ นี้
………………
🔴 1. อะไรคือแรงผลักดันที่ทำให้คุณอยากเป็นหัวหน้า (Motivation)
กว่า 60% ของ millennials พูดตรงกันว่าการเติบโตก้าวหน้า คือ เรื่องของผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นและการเลื่อนตำแหน่งขึ้นไปเรื่อย ๆ มิใช่เรื่องของโอกาสที่จะได้โค้ชทีมเพื่อสร้างผู้นำรุ่นใหม่ ๆ ขึ้นมา ซึ่งถามว่าผิดมั้ยที่จะคิดถึงสิ่งเหล่านี้ คำตอบคือ ไม่ เพราะใครบ้างที่จะทำงานโดยไม่หวังสร้างความมั่งคั่งให้ตนเองเลย แต่ถามว่าหากไม่มีแรงผลักดันอื่นผสมอยู่ด้วยเลย คุณจะสามารถเป็นผู้นำที่ดีได้หรือไม่ คำตอบคือ คุณคงจะเป็นผู้นำที่ดีพร้อมไม่ได้แน่นอน ดังนั้น เรื่องเงินและความสำเร็จส่วนบุคคลอาจทำให้คุณยืนระยะได้ไม่นาน หรือในขณะที่อยู่ในตำแหน่ง ก็อาจไม่เป็นที่รักใคร่ของคนรอบข้าง
เพราะฉะนั้น หากคิดจะก้าวหน้า อย่าลืมถามคำถามเหล่านี้กับตัวเองด้วย
• คุณมีความอดทนมากพอที่จะเคี่ยวเข็ญและพร่ำสอนผู้อื่นให้ประสบความสำเร็จเหมือนคุณหรือไม่?
• คุณพร้อมที่จะเรียนรู้ลักษณะงานที่อาจต่างไปโดยสิ้นเชิงหรือไม่?
• งานบริหารทำให้คุณรู้สึกสนุกหรือตื่นเต้นที่จะเรียนรู้หรือไม่?
หากมองไปที่ผู้บริหารระดับ C-level ที่คุณรู้จัก คนเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งได้เพราะความสำเร็จส่วนบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่เพราะมีความสามารถในการช่วยเหลือผู้อื่นให้ประสบความสำเร็จได้ด้วยเช่นเดียวกัน
🔴 2. เราทำหน้าที่ของเราในปัจจุบันได้อย่างดีเยี่ยมแล้วหรือยัง (Current success)
แน่นอนว่าหากผลงานในปัจจุบันยังทำได้ไม่ดีเยี่ยม จะลัดขั้นตอนไปคิดถึงอนาคตได้อย่างไร ผลงานที่ดีเยี่ยมในที่นี้หมายถึง เรามีผลงานเป็นที่ประจักษ์ วัดผลได้ และสำเร็จซ้ำ ๆ อย่างต่อเนื่อง จนพูดได้เต็มปากว่าเป็น ความสำเร็จที่ยั่งยืน หรือ sustained success
เมื่อมี sustained success แล้ว สิ่งต่อมาคือการรู้สึกกระตือรือร้นต่อความเป็นไปรอบตัว ในขณะที่ยังเป็นพนักงาน คุณเพียงแค่ต้อง laser focus งานตรงหน้าของคุณและทำมันให้ดีที่สุด แต่เมื่อเป็นหัวหน้า คุณจะต้องรับมือกับสิ่งรอบตัวอย่างใส่ใจแบบ 360 องศา ทั้งการอ่านรายงานต่าง ๆ เพื่อมองภาพรวม ตลอดจนการเป็นนักประสานงานข้ามแผนก ดังนั้นทักษะที่คุณต้องมีเพิ่มแน่ ๆ และควรขัดเกลามันตั้งแต่วันนี้ คือ active listening & observation skills คือ ฟังผู้อื่นอย่างตั้งอกตั้งใจและสังเกตความเป็นไปต่าง ๆ ให้ทะลุปุโปร่ง
คุณอาจเริ่มฝึกสังเกตไปยังสิ่งต่าง ๆ รอบตัวและวิเคราะห์ว่าอะไรเป็นจุดอ่อนในกระบวนการทำงานที่ควรค่าแก่การปรับปรุงพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้ดีขึ้น เมื่อพบแล้วก็ให้นำสิ่งนั้นไปบอกกับหัวหน้าของคุณ การทำแบบนี้แสดงออกถึงความใส่ใจในความสำเร็จของทีมและองค์กรในภาพรวม แม้รายละเอียดเหล่านั้นจะไม่เกี่ยวข้องกับเนื้องานของคุณก็ตาม นี่คือเคล็ดลับที่จะทำให้คุณมีเส้นทางการเติบโตที่ยั่งยืน
🔴 3. คุณให้ความสำคัญกับเรื่องความสัมพันธ์ต่อผู้อื่นหรือไม่ (Relationship builder)
ในฐานะผู้นำ โลกทั้งใบไม่ได้มีแค่ตัวคุณคนเดียวอีกต่อไป หากแต่ต้องคำนึงถึงคนรอบข้างและองค์กรเป็นสำคัญ การแสดงออกถึงความจริงใจที่จะช่วยเหลือให้ผู้อื่นได้ดีอยู่เสมอเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และจะทำให้คุณได้รับความเคารพและเป็นที่ยอมรับในหมู่ผู้บริหารและพนักงาน
เมื่อผู้อื่นสัมผัสได้ถึงความจริงใจและความเป็นมนุษย์ในตัวคุณเมื่อไหร่ เมื่อนั้นคุณจะได้รับผลตอบแทนแบบเกินคาดโดยไม่ต้องเหนื่อยที่จะขวนขวายอีกต่อไป และนี่คือจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่จะเติมเต็มความพร้อมให้คุณสู่การเป็นผู้นำที่ดีขององค์กร
……………….
และทั้งหมดนี้ คือ สามแนวในการประเมินความพร้อมสู่การเป็นหัวหน้างานด้วยตัวคุณเอง หากคุณอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าหรือผู้นำองค์กรอยู่แล้ว แนวทางเหล่านี้อาจเป็นประโยชน์ให้คุณได้เติมเต็มสิ่งที่ขาด ก่อนที่แผลจะบวมแดงและเปิดในที่สุด หรือหากคุณคือพนักงานระดับปฏิบัติการและติ๊กถูกให้กับทุกข้อที่กล่าวมา ก็ขอแสดงความยินดีกับว่าที่หัวหน้างานคนใหม่ด้วยครับ
A Cup of Culture
———–
วัฒนธรรมองค์กร
Corporate culture
Organizational culture
.
.

