“หมดไฟในการทำงาน” ไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่มันค่อย ๆ สะสมจากความเครียด แรงกดดัน และการไม่มีเวลาพัก จนกลายเป็นปัญหาทั้งต่อสุขภาพ ความสัมพันธ์ และประสิทธิภาพในการทำงาน สิ่งสำคัญคือ Burnout (ภาวะหมดไฟ) ไม่ใช่แค่ปัญหาส่วนตัว แต่มันสะท้อนถึงสภาพแวดล้อมของการทำงานและวัฒนธรรมองค์กร ว่ามีจุดไหนที่ต้องปรับปรุงบ้าง
บทความนี้ A Cup of Culture จะพาไปทำความเข้าใจเส้นทางสู่ภาวะหมดไฟ (Burnout) และไขคำตอบว่าวัฒนธรรมองค์กรที่ดีช่วยป้องกันได้อย่างไร?
เส้นโค้งของ “ภาวะหมดไฟ” (Burnout Curve)
เส้นโค้งนี้แสดงให้เห็นว่า เมื่อความกดดันเพิ่มขึ้น คนเราจะเปลี่ยนจากสภาวะที่มีแรงจูงใจสูงไปสู่ภาวะที่พลังใจและประสิทธิภาพค่อย ๆ ลดลง และจบที่ “หมดไฟ” มาดูทีละช่วงของเส้นโค้งนี้กัน
✅ ช่วงต้น: ก่อนภาวะหมดไฟประทุ
- ไร้จุดหมาย (Rust Out) / หงุดหงิด / เบื่อ: คนรู้สึกเฉย ๆ กับงาน หรือไม่เจอความท้าทาย
- เริ่มสนใจ / กระตือรือร้น / มีสมาธิ: เริ่มรู้สึกว่างานน่าสนใจ มีจุดโฟกัส
- คิดสร้างสรรค์ / มีประสิทธิภาพ: เริ่มอยู่ใน “โหมดทำงาน” อย่างเต็มที่
- เข้าสู่ Flow: เป็นช่วงที่ทำงานได้ดีที่สุด รู้สึกมีพลังและพึงพอใจ
หากองค์กรมีวัฒนธรรมที่ส่งเสริมอิสระ ความหมายในงาน และการเห็นคุณค่า จะช่วยให้คนอยู่ในช่วง Flow ได้นานขึ้น
⚠️ ช่วงกลาง: สัญญาณเตือนเริ่มมา
- เริ่มเบื่อ / สมาธิลดลง / ประสิทธิภาพตก: งานเริ่มไม่สนุก รู้สึกว่างานหนักขึ้น
- ความคิดสร้างสรรค์ลดลง / ตัดสินใจไม่เด็ดขาด / หงุดหงิดง่าย: ปัญหาเริ่มสะสม ความเครียดเริ่มส่งผล
นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญ ถ้าไม่มีใครสังเกตหรือยื่นมือมาช่วย ก็อาจพัฒนาไปสู่ Burnout ได้
🔴 ช่วงสุดท้าย: Burnout เต็มรูปแบบ
- วิตกกังวล / เหนื่อยล้า / อ่อนเพลีย: ทั้งร่างกายและจิตใจเริ่มส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ
- หมดไฟ: หมดแรง หมดใจ ไม่อยากทำงานอีกต่อไป รู้สึกหมดคุณค่าในตัวเอง
หากถึงจุดนี้ มักต้องใช้เวลาฟื้นฟูนาน และอาจส่งผลต่อสุขภาพระยะยาว
แล้ววัฒนธรรมองค์กรเกี่ยวอะไรกับ Burnout?
องค์กรที่มีวัฒนธรรมที่ไม่สมดุล เช่น ยกย่องการทำงานล่วงเวลา ไม่เปิดพื้นที่ให้พูดเรื่องความเครียด หรือไม่สนใจสุขภาพคนทำงาน ย่อมผลักให้คนในทีม “หมดไฟ” ได้ง่ายขึ้น ในทางตรงข้าม หากองค์กรมีวัฒนธรรมองค์กรที่ดีจะช่วยป้องกัน Burnout ได้โดย:
- สนับสนุนการพูดคุยเรื่องความเครียดได้อย่างปลอดภัย
- ให้ผู้นำเป็นแบบอย่างเรื่อง Work-Life Balance
- สร้างความชัดเจนเรื่องเวลาพัก และพื้นที่ส่วนตัว
- ให้ความสำคัญกับ “คน” มากกว่าแค่ “ผลงาน”
เพราะ Burnout ไม่ใช่ความผิดของพนักงาน แต่เป็นสัญญาณว่าระบบต้องได้รับการดูแล
✅ 6 วิธีป้องกัน “ภาวะหมดไฟ” ที่ทำได้จริง
- กำหนดขอบเขตการทำงาน (Set Boundaries)
ชัดเจนว่าเลิกงานกี่โมง ไม่ส่งข้อความหรืออีเมลงานหลังเลิกงาน - จัดลำดับความสำคัญ (Prioritize Tasks)
โฟกัสกับงานที่สำคัญจริง ๆ ลดภาระงานที่ไม่จำเป็น - พักเป็นระยะ (Take Breaks)
ส่งเสริมการพักเบรกสั้น ๆ ระหว่างวัน เพื่อรีเซ็ตสมอง - กระจายงานอย่างเหมาะสม (Delegate Effectively)
ไม่ใช่ทุกอย่างต้องทำเอง ให้คนอื่นมีส่วนร่วม และสร้างทีมที่แข็งแรง - เลิกงานแล้วต้องพักจริง (Unplug After Work)
ปิดแจ้งเตือน เลิกอ่านอีเมลนอกเวลา ให้ร่างกายและใจได้พักบ้าง - ดูแลตัวเองเสมอ (Practice Self-Care)
กินดี นอนพอ ออกกำลังกาย และใส่ใจสุขภาพจิต
สรุป: ป้องกัน Burnout ด้วยวัฒนธรรมองค์กรที่ใส่ใจคน
เส้นโค้งของ Burnout เป็นของจริง แต่เราไม่จำเป็นต้องปล่อยให้มันเกิดขึ้น ถ้าเราเริ่มใส่ใจตั้งแต่ต้น การสร้าง วัฒนธรรมองค์กรที่เข้าใจมนุษย์และไม่ผลักคนให้ล้า คือกุญแจสำคัญ ไม่ใช่แค่เพื่อป้องกัน Burnout แต่เพื่อให้คนในทีมเติบโตอย่างยั่งยืน
เมื่อคนรู้สึกปลอดภัย ได้รับการสนับสนุน และเห็นคุณค่าตัวเอง พวกเขาจะไม่เพียงแค่ “ทำงาน” แต่จะ “สร้างสิ่งที่มีคุณค่า” ไปกับองค์กรของคุณด้วย
A Cup of Culture
────
วัฒนธรรมองค์กร
corporateculture
organizationalculture
.
.

What is “The Stress Curve” and How It Leads to Burnout. Retrieved from: https://www.linkedin.com/pulse/what-stress-curve-how-leads-burnout-jani-konjedic/
The Relationship Between Organizational Culture and Job Burnout Among the Professors and Employees in the University of Tabriz. Retrieved from: https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S1877042811022063
What are the five stages of burnout? Retrieved from: https://herbandchi.me/stages-of-burnout
Burnout Is About Your Workplace, Not Your People. Retrieved from: https://hbr.org/2019/12/burnout-is-about-your-workplace-not-your-people
