Work-Life Fluidity หรือ “ความลื่นไหลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว” เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้นในปัจจุบัน โดยเป็นแนวคิดที่ก้าวข้ามจากรูปแบบเดิมของ Work-Life Balance ที่มุ่งเน้นการแบ่งแยกเวลาทำงานและเวลาส่วนตัวอย่างชัดเจน ไปสู่แนวทางที่ยืดหยุ่นและปรับตัวได้ตามความต้องการของแต่ละบุคคล
ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุนความสมดุลในการทำงานและชีวิตส่วนตัวของพนักงาน
Work-Life Fluidity คืออะไร?
Work-Life Fluidity เป็นแนวทางที่ให้ความสำคัญกับการผสานรวมระหว่างหน้าที่การงานและชีวิตส่วนตัว โดยตระหนักว่าพนักงานแต่ละคนมีลำดับความสำคัญและภาระหน้าที่ที่แตกต่างกัน องค์กรที่นำแนวคิดนี้มาใช้จะช่วยให้พนักงานสามารถบริหารจัดการเวลาได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น ลดข้อจำกัดในการแบ่งแยกระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิต และเน้นไปที่ความกลมกลืนระหว่างสองส่วนนี้มากกว่าการแบ่งเวลาเท่าๆ กัน
ประโยชน์ของ Work-Life Fluidity และการนำไปใช้ในองค์กร
องค์กรที่เปิดรับแนวคิด Work-Life Fluidity สามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่ช่วยให้พนักงานมีอิสระในการบริหารเวลาและภาระหน้าที่ของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งนำไปสู่ความพึงพอใจในการทำงานที่สูงขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และช่วยลดอัตราการลาออกของพนักงาน แนวทางในการนำแนวคิดนี้ไปใช้ ได้แก่:
- เปิดโอกาสให้พนักงานสามารถเลือกเวลาทำงานที่ยืดหยุ่น
- ส่งเสริมการทำงานแบบรีโมตหรือแบบไฮบริด
- มอบอำนาจให้พนักงานในการบริหารจัดการภาระงานของตนเอง
ความท้าทายและแนวทางแก้ไข
แม้ว่า Work-Life Fluidity จะมีข้อดีหลายประการ แต่หากไม่มีการจัดการที่เหมาะสม อาจทำให้เกิดปัญหา เช่น การทำงานที่ทับซ้อนกับเวลาส่วนตัวหรือความเครียดจากการจัดลำดับความสำคัญไม่ถูกต้อง เพื่อให้แนวคิดนี้ประสบความสำเร็จ องค์กรควร:
- กำหนดขอบเขตการทำงานให้ชัดเจน เช่น เวลาที่ต้องติดต่อกันและเวลาสำหรับการพักผ่อน
- ใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยบริหารเวลา เช่น ซอฟต์แวร์ติดตามเวลาและระบบจัดการงาน
- ส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นการสื่อสารและความเข้าใจระหว่างพนักงานและผู้บริหาร
การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุน Work-Life Fluidity
หากองค์กรต้องการให้แนวคิด Work-Life Fluidity เกิดขึ้นจริง จำเป็นต้องปลูกฝัง วัฒนธรรมองค์กร ที่สนับสนุนแนวทางนี้ ซึ่งสามารถทำได้ผ่านแนวทางดังต่อไปนี้:
- เสริมสร้างความเชื่อมั่นและความรับผิดชอบ: เปิดโอกาสให้พนักงานมีอิสระในการบริหารเวลาทำงาน โดยให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากกว่าจำนวนชั่วโมงที่ทำงาน
- นำเสนอนโยบายการทำงานที่ยืดหยุ่น: องค์กรควรมีทางเลือก เช่น การทำงานจากที่บ้าน การกำหนดเวลาทำงานที่ยืดหยุ่น และการทำงานแบบอะซิงโครนัส เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของพนักงาน
- ส่งเสริมการสื่อสารและความเห็นอกเห็นใจ: ผู้นำองค์กรควรเป็นแบบอย่างในการเปิดใจรับฟังและเข้าใจความต้องการของพนักงาน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนซึ่งกันและกัน
- ใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาด: ใช้เครื่องมือดิจิทัลในการบริหารจัดการภาระงานและติดตามความคืบหน้าของโครงการ โดยไม่ทำให้พนักงานรู้สึกถูกควบคุมมากเกินไป
- สนับสนุนวัฒนธรรมการเรียนรู้และพัฒนา: ส่งเสริมให้พนักงานเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ทั้งในด้านอาชีพและชีวิตส่วนตัว เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและความมั่นใจในการทำงาน
- ให้ความสำคัญกับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน: จัดหาทรัพยากรและกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตและร่างกาย เช่น โปรแกรมสุขภาพ การให้คำปรึกษา หรือกิจกรรมผ่อนคลาย
บทสรุป —Work-Life Fluidity เป็นแนวคิดที่ช่วยให้พนักงานสามารถจัดสรรเวลาทำงานและชีวิตส่วนตัวได้อย่างเหมาะสม โดยเน้นไปที่ความยืดหยุ่นและความกลมกลืน องค์กรที่ต้องการนำแนวคิดนี้ไปใช้จำเป็นต้องสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุนการทำงานอย่างยืดหยุ่น สื่อสารอย่างเปิดเผย และให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากกว่ากระบวนการ หากสามารถนำแนวคิดนี้ไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยเสริมสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เอื้อต่อความพึงพอใจและประสิทธิภาพของพนักงานในระยะยาว
A Cup of Culture
────
วัฒนธรรมองค์กร
corporateculture
organizationalculture
.
.

https://www.hrmagazine.co.uk/content/comment/worklife-balance-is-not-achievable-instead-aim-for-worklife-fluidity/
Struggle with work-life balance? Try work-life fluidity | Morson Talent – The Recruitment Experts
https://www.morson.com/blog/work-life-fluidity
https://icehrm.com/blog/from-work-life-balance-to-work-life-fit-the-new-trend-of-2024/?a=1
