รายงานล่าสุดจาก McCrindle เรื่อง “Generational Worker Profiles” และ “การสร้างทีมข้ามเจเนอเรชันอย่างมีสุขภาวะ” ประจำปี 2024 ชี้ให้เห็นว่า ความสำเร็จขององค์กรในปัจจุบันขึ้นอยู่กับการสร้างวัฒนธรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของพนักงานสี่เจเนอเรชัน ได้แก่ Baby Boomers, Gen X, Gen Y (Millennials) และ Gen Z
ดังนั้น การทำให้ทุกคนรู้สึกมีคุณค่า ได้รับการยอมรับ และสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น ถือเป็นความท้าทายสูงสุดของผู้นำและผู้บริหารองค์กร ในฐานะที่ปรึกษาด้านวัฒนธรรมองค์กร เราจึงอยากชวนคุยเรื่องนี้
เข้าใจความแตกต่างระหว่างเจเนอเรชัน
แต่ละเจเนอเรชันมีประสบการณ์ ความคาดหวัง และค่านิยมที่แตกต่างกัน การเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้เป็นรากฐานสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ประสบความสำเร็จ:
- Baby Boomers: ให้ความสำคัญกับงานที่มีความหมายและผู้นำที่ยึดมั่นในคุณธรรม
- Gen X: ต้องการความยืดหยุ่น ความชัดเจนในการสื่อสาร และความสะดวกในการทำงาน
- Gen Y: มองหาโอกาสในการเติบโต ผู้นำที่เข้าถึงง่าย และสมดุลระหว่างชีวิตกับงาน
- Gen Z: เน้นงานที่สร้างผลกระทบ ความไว้เนื้อเชื่อใจ และการได้รับคำแนะนำอย่างสม่ำเสมอ
การจะสร้าง “วัฒนธรรมองค์กร” ที่ประสบความสำเร็จจึงต้องอิงจากความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในความแตกต่างเหล่านี้ และนำไปปรับใช้กับการบริหารคน การสร้างผู้นำ และการออกแบบประสบการณ์ในที่ทำงาน
ผู้นำยุคใหม่ต้องยืดหยุ่นและเข้าใจคน
สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง คือผู้นำที่มีความยืดหยุ่นและเข้าใจความหลากหลายของทีมงาน แม้ทุกเจเนอเรชันจะให้ความสำคัญกับ “ผู้นำที่เข้าถึงได้” แต่รายละเอียดของคำนี้แตกต่างกัน:
- Gen Z: ต้องการการชมเชยและคำแนะนำอย่างต่อเนื่อง พร้อมพูดคุยเรื่องการเติบโตในอาชีพเป็นประจำ
- Gen X: ให้ความสำคัญกับความชัดเจนและความซื่อสัตย์
- Gen Y: มองหาผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจและพร้อมพัฒนาคน
- Baby Boomers: ต้องการได้รับการยอมรับในผลงานที่สั่งสมมายาวนาน
ผู้นำยุคใหม่จึงต้องมีความฉลาดทางอารมณ์ สื่อสารเก่ง และปรับตัวได้ตามสถานการณ์ เพื่อสร้างความไว้วางใจและความมั่นใจ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของวัฒนธรรมองค์กรที่ดี
วัฒนธรรมที่แข็งแรงเกิดจากการออกแบบอย่างตั้งใจ
วัฒนธรรมองค์กรไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ต้องออกแบบอย่างมีจุดมุ่งหมาย โดยเชื่อมโยงพฤติกรรมของผู้นำ วิธีการสื่อสาร และนโยบายการทำงานเข้ากับค่านิยมของพนักงานทุกวัย เช่น:
- การสำรวจความคิดเห็นอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรับฟังเสียงจากทุกกลุ่ม
- การอบรมผู้นำ ให้มีทักษะด้านการสื่อสารและเห็นอกเห็นใจ
- การสร้างโปรแกรมพี่เลี้ยงข้ามเจเนอเรชัน
- การออกแบบงานที่ยืดหยุ่น ตามไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย
- การให้รางวัลที่เหมาะกับแต่ละช่วงวัย
การออกแบบวัฒนธรรมอย่างตั้งใจเช่นนี้จะทำให้องค์กรสามารถตอบโจทย์ทั้งรายบุคคลและเป้าหมายร่วมกันได้
ความยืดหยุ่นและการสื่อสาร: แกนหลักของวัฒนธรรมยุคใหม่
- ความยืดหยุ่น:
- เป็นปัจจัยสำคัญที่พนักงานทุกเจเนอเรชันให้ความสำคัญ
- ครอบคลุมการทำงานจากที่ไหนก็ได้ การจัดเวลาทำงานที่เหมาะสม และความยืดหยุ่นในการรับผิดชอบหน้าที่
- ช่วยเพิ่มความพึงพอใจในการทำงาน โดยเฉพาะ Gen X และ Gen Y ที่ต้องจัดสมดุลระหว่างงานกับครอบครัว รวมถึง Gen Z ที่ให้ความสำคัญกับชีวิตส่วนตัวไม่น้อยไปกว่างาน
- ความถี่ของการสื่อสาร:
- Gen Z และ Gen Y ต้องการการพูดคุยและรับข้อเสนอแนะหลายครั้งต่อสัปดาห์
- สะท้อนถึงแนวโน้มใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมากกว่าการประเมินประจำปีแบบดั้งเดิม
- องค์กรที่ส่งเสริมการสื่อสารอย่างเปิดเผยและสม่ำเสมอจะสร้างวัฒนธรรมแห่งความโปร่งใส ความคล่องตัว และความร่วมมือ
การดึงดูดและรักษาคนเก่ง: สิ่งที่พนักงานต้องการ
- ค่านิยมที่แตกต่างกัน: เมื่อดึงดูดบุคลากรใหม่ ค่านิยมแต่ละเจเนอเรชัน เช่น เงินเดือน โอกาสก้าวหน้า หรือสถานที่ทำงานที่สะดวก อาจมีน้ำหนักไม่เท่ากัน
- สิ่งที่ทุกกลุ่มเห็นตรงกัน: ความไว้วางใจ ความหมายของงาน และผู้นำที่เปิดใจ คือรากฐานร่วมของวัฒนธรรมที่แข็งแกร่ง แม้ผลตอบแทนเชิงรูปธรรมจะต่างกัน แต่ความซื่อสัตย์ ความมีจุดมุ่งหมาย และผู้นำที่เข้าถึงได้คือค่านิยมที่ลึกซึ้งที่ทุกคนต้องการ
การทำงานร่วมกันข้ามเจเนอเรชัน: ความท้าทายและโอกาส
- ความท้าทาย:
- ความขัดแย้งอาจเกิดขึ้นจากรูปแบบการสื่อสารหรือค่านิยมที่ไม่ตรงกัน
- ตัวอย่าง: Gen Z สื่อสารผ่านเทคโนโลยี อาจไม่สอดคล้องกับ Baby Boomers ที่ชอบพูดคุยต่อหน้า
- ตัวอย่าง: ความคาดหวังของ Gen Y ที่ต้องการงานที่มีความหมาย อาจดูเกินจริงสำหรับ Gen X ที่เน้นความเป็นจริงและความมั่นคง
- การส่งเสริมความเข้าใจ: องค์กรควรส่งเสริมความเข้าใจระหว่างเจเนอเรชันผ่าน:
- กิจกรรมร่วมกัน
- การสร้างคู่พี่เลี้ยงระหว่างวัย
- การฝึกอบรมด้าน “ความฉลาดทางเจเนอเรชัน”
- เพื่อสร้างวัฒนธรรมแห่งความเคารพ เข้าใจ และเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
อนาคตของวัฒนธรรมองค์กร
เมื่อก้าวเข้าสู่ปี 2034 กลุ่มแรงงานจะเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง Baby Boomers จะทยอยเกษียณ และ Gen Z จะกลายเป็นพลังหลักในที่ทำงาน ความต้องการใหม่ๆ เช่น ผู้นำที่มีเป้าหมายชัดเจน การทำงานอย่างยั่งยืน และทักษะดิจิทัล จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่
ในท้ายที่สุด วัฒนธรรมองค์กรคือเส้นใยที่เชื่อมคนต่างวัยเข้าด้วยกัน เป็นประสบการณ์ร่วมของค่านิยม พฤติกรรม และเป้าหมาย องค์กรที่ลงทุนสร้างวัฒนธรรมนี้อย่างจริงจัง จะสามารถดึงดูดและรักษาคนเก่ง พร้อมปลดล็อกศักยภาพของทีมงานที่หลากหลายอย่างแท้จริง
A Cup of Culture
────
วัฒนธรรมองค์กร
corporateculture
organizationalculture
.
.

