McKinsey ได้เปิดเผยรายงานเมื่อช่วงเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา พบว่าหนึ่งในสามของพนักงานมองว่าการกลับไปทำงานในออฟฟิศนั้นส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตพวกเขาในด้านของความวิตกกังวล ความเครียด และความเศร้าหมอง ซึ่งความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน และแนวโน้มในการลาออกอย่างมาก
อีกงานวิจัยหนึ่งจาก Business Insider ก็พบว่าพนักงาน 40% พร้อมที่จะลาออก (โดยเฉพาะกลุ่มพนักงานที่อายุน้อย) ถ้าต้องถูกโดนบังคับให้กลับไปทำงานที่ออฟฟิศแบบ 100%
แต่ความจำเป็นของหลาย ๆ ที่ที่ต้องกลับไปทำงานออฟฟิศก็เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ ดังนั้น คำตอบของประเด็นปัญหานี้อาจจะไม่ใช่การยกเลิกการทำงานในออฟฟิศ แต่เป็นการบริหารความเครียดและกังวลของพนักงานในช่วงของการเปลี่ยนแปลง และถ้าหากทำได้ดีแล้วนี่อาจจะเป็นโอกาสให้ทีมงานของเราปรับตัวได้ และเห็นด้วยกับการกลับเข้าออฟฟิศมากขึ้น และบทความจาก Havard Business Review ก็มี 5 วิธีการรับมือกับช่วงเปลี่ยนผ่าน ที่จะทำให้พนักงานเรากลับมาทำงานอย่างเต็มไปด้วยประสิทธิภาพ และพลังงาน
======================
⚠️ 1. ค่อยเป็นค่อยไปกับการเจอกัน
เมื่อเรากลับมาเจอกันหลังจากที่ห่างหายไปนาน หลายออฟฟิศอาจจะตื่นเต้นกับการพยายามชดเชยเวลาที่หายไปด้วยการจัดเต็มไปกับกิจกรรมต่าง ๆ และการรวมตัวกัน แต่จริง ๆ แล้วแม้แต่คนที่ปกติจะ Extrovert ก็ตาม ก็จะต้องมีระยะเวลาในการปรับตัวจากการที่อยู่คนเดียวนาน ๆ แล้วมาเจอคนเยอะ ๆ เพราะมันมีเรื่องนอกเหนือจากการเข้าสังคม เช่น การใส่หน้ากาก การจับมือ การทานอาหารร่วมกัน ที่ต้องมีการเรียนรู้ใหม่
เพื่อหลีกเลี่ยงความเครียดเหล่านี้ให้กับพนักงาน การเริ่มต้นเข้าออฟฟิศควรที่จะเป็นกันพบปะกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ในช่วงแรก และค่อย ๆ ให้เวลากับมันในการขยายขอบเขต เพื่อเป็นการให้เวลากับคนของเราในการระลึกทักษะการเข้าสังคมกลับมา และเพื่อเป็นการเลี่ยงความกังวลเกี่ยวกับไวรัสให้กับพนักงาน องค์กรควรที่การตรวจสอบถึงขอบเขตที่พนักงานแต่ละคนมองว่าเหมาะสม เช่น ทีมงานเราอาจจะยังไม่สะดวกใจกับการทานอาหารร่วมกันในห้องปิด
⚠️ 2. สร้างประเพณีของการเรียนรู้ร่วมกัน
ในระหว่างช่วงเวลาที่พนักงานเรากำลังค่อย ๆ ฟื้นตัวจากสภาวะความเปลี่ยนแปลงที่ผ่านมา องค์กรสามารถช่วยให้การปรับตัวเกิดได้ดีขึ้นผ่านการจัดสรรให้พนักงานร่วมแบ่งปันประสบการณ์ในช่วงหลาย ๆ เดือนที่ผ่านมา เพื่อสร้างความรู้สึกของการเชื่อมต่อกันระหว่างผู้คน การให้ความสำคัญและให้เวลากับการ Reflect การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจะช่วยเพิ่มกำลังใจ และความไว้วางใจในทีม
⚠️ 3. ตรวจสอบงานงอก
อีกหนึ่งสาเหตุของการ Burnout เมื่อกลับออฟฟิศอาจจะมาจากการที่พนักงานส่วนใหญ่มีงาน และความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นในช่วงของการ Work from Home ที่ผ่านมา และความกลัวที่ว่าภาระงานที่คิดว่าเพิ่มขึ้นมาชั่วคราวนี้จะกลายเป็นภาระงานถาวรอาจทำให้พนักงานหลายคนรับไม่ไหว
เพื่อหลีกเลี่ยงสถานะการณ์นี้องค์กรควรที่จะประเมินบทบาทความรับผิดชอบของทีมในปัจจุบัน โดยให้พนักงานเปรียบเทียบบทบาทของตัวเองในตอนนี้กับก่อนหน้าช่วงของการระบาดเพื่อดูว่ามันเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน จากนั้นจึงทำงานร่วมกับเหล่าพนักงานในการจัดหมวดหมู่ว่าอันไหนชั่วคราวที่เกี่ยวกับโควิด อันไหนถาวรที่เกิดจากการเติบโตขององค์กร และจัดสรรตำแหน่ง และค่าตอบแทนให้เป็นไปตามนั้น
⚠️ 4. สร้างพื้นที่ให้กับคนที่ต้องการสมาธิ
ในช่วงของการทำงานที่บ้านมีรายงานว่าพนักงานกว่า 3.1 ล้านคนใช้เวลาเพิ่มมากขึ้นไปกับการตอบอีเมล และประชุมในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเฉลี่ยแล้วคนทำงานทั่วไปจะถูกรบกวนทุก ๆ 3 นาที และใช้เวลาได้ถึง 23 นาทีกว่าจะกลับเข้าสู่โฟกัสกันได้
ดังนั้น ในการกลับคืนสู่ออฟฟิศนโยบายที่เอื้อให้พนักงานสามารถลำดับความสำคัญของงานได้ และสร้างช่วงเวลาที่พวกเขาจะไม่ถูกรบกวนจึงเป็นสิ่งสำคัญ ตัวอย่างเช่นที่ Facebook, AirBnB และ Asana ก็มีนโยบาย “No-meeting Wednesday” หรือของ Citi ชื่อ “Zoom-Free Fridays”
⚠️ 5. ให้เวลาเพิ่มกับการพักฟื้น
ในบางครั้งแล้วมาตรการเข้มข้นก็จำเป็นสำหรับการช่วยให้พนักงานเราไม่ Burnout จากการกลับเข้าออฟฟิศ หลาย ๆ องค์กรจึงเลือกใช้วิธีการเพิ่มวันหยุดให้กับพนักงาน เช่นที่ LinkedIn เขาก็ได้เพิ่มวันหยุดให้กับพนักงานคนละ 1 สัปดาห์ หรือที่ Mozilla ก็จัดให้มีวันหยุดในทุก ๆ เดือน
เหตุผลที่หลาย ๆ องค์กรชั้นนำเลือกวิธีนี้เป็นเพราะมีรายงานที่บอกว่าผลกระทบระยะยาวของการ Burnout นั้นน่ากลัวกว่าค่าใช้จ่ายในการให้พนักงานได้มีวันหยุดเพิ่มขึ้น อ้างอิงจากการศึกษาของ Deloitte ที่พบว่าพนักงานที่ไม่หยุดพักเลยมักจะสูญเสียประสิทธิภาพในการเรียนรู้ คิดวิเคราะห์ และการทำความเข้าใจเพื่อนร่วมงาน
======================
แม้ว่าแนวทางการปรับตัวทั้ง 5 นี้จะมีบทบาทสำคัญอย่างมากในช่วงของการปรับตัวสู่การเข้าออฟฟิศ แต่ในระยะยาวองค์กรมามารถลองผิดลองถูกกับแนวทางเหล่านี้เพื่อปรับไปใช้ให้กลายเป็นนโยบายถาวรของบริษัท เพราะทั้ง 5 แนวทางในข้างต้นล้วนมีส่วนช่วยในการเพิ่ม well-being ของพนักงาน และลดอัตราการ Burnout ในรูปแบบอื่น ๆ ด้วยได้เช่นกัน
A Cup of Culture
———–
วัฒนธรรมองค์กร
Corporate culture
Organizational culture
.
.
>>>

.
>>>
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
https://www.businessinsider.fr/us/quit-job-flexible-remote-working-from-home-return-to-office-2021-6
.
.
>>>
